คำบรรยายวิชา
PS 709 นโยบายต่างประเทศไทย
Thai Foreign Policy
ผศ.ดร.เบ็ญจมาส จีนาพันธุ์ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551
วิชานี้มีอาจารย์ผู้บรรยายสองท่านคืออ.ธนียาและอ.เบ็ญจมาส
ข้อสอบจึงมี 2 ข้อ 40 คะแนน นักศึกษาควรแบ่งเวลาการทำข้อสอบให้ดี ในเครือข่ายที่ 2
และ 4 แม้อาจารย์จะสอนสองท่านเหมือนกัน แต่เวลาสอบจะไม่ตรงกันคือ เครือข่ายที่ 4
จะสอบตอน 5 โมงเย็นของวันที่ 26 (ข้อสอบคนละชุดกัน)
ขอบเขตการศึกษา มีดังนี้
1.นโยบายต่างประเทศ
1.1 คำนิยามของนโยบายต่างประเทศ
1.2 ผลประโยชน์แห่งชาติ
1.3 เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
อาจารย์ธนียาได้บรรยายเนื้อหาส่วนนี้ไปแล้วโดยเน้นเรื่องเกี่ยวกับเอเชีย
ส่วนอาจารย์จะช่วยปูพื้นฐานให้อีกรอบหนึ่งโดยเน้นประเทศมหาอำนาจ
2.ทฤษฎีการตัดสินใจ
เป็นการปูพื้นฐานเกี่ยวกับตัวแบบการตัดสินใจ ลักษณะของผู้ตัดสินใจ
การรับรู้และโลกทัศน์ของผู้ตัดสินใจ
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยที่มีต่อมหาอำนาจทั้งสิ้น
3.ผลประโยชน์แห่งชาติของไทย
เจาะลึกลงไปว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองมาจนถึงปัจจุบัน
ผลประโยชน์แห่งชาติของไทยมีอะไรบ้าง นโยบายต่างประเทศของไทยแต่จะยุคจะแตกต่างกัน
ผู้แสดงบทบาทหรือผู้กำหนดนโยบายก็จะแตกต่างกันด้วย
4.ปัจจัยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
4.1
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของไทย การวิเคราะห์มักถามว่า Why และ How เช่น
ทำไมนโยบายต่างประเทศของไทยจึงออกมาเช่นนั้น นโยบายต่างประเทศของไทยเป็นอย่างไร
5.ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
พูดถึงเฉพาะผู้ตัดสินใจหรือผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศเท่านั้น
โดยยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นกรณีศึกษา
6.นโยบายต่างประเทศของไทยต่อเอเชีย
6.1
นโยบายต่างประเทศไทยต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
6.2 นโยบายต่างประเทศไทยกับการร่วมมือในเอเชีย
7.นโยบายต่างประเทศไทยต่อมหาอำนาจ
ณ ที่นี้จะรวมถึงอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป
รายงานของนักศึกษาจะต้องมีอ้างอิง
ซึ่งการอ้างอิงมีความสำคัญมาก
ปัจจุบันสหรัฐฯมองว่าไทยเราเป็นประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและน่าจับตามองเป็นพิเศษ
เพราะไทยเราละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วยการก๊อปปี้หนังสือ
ช่วงบ่ายวันเสาร์ของสัปดาห์สุดท้าย
อาจารย์จะให้ตัวแทนของนักศึกษาแต่ละสาขาออกมาแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ......??....... เนื่องจากข้อสอบเป็นการวิเคราะห์
นักศึกษาจึงควรหัดวิเคราะห์ช่วงที่ทำ Quiz และการแสดงความคิดเห็น
**เข้าสู่เนื้อหาการบรรยาย**
ทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision Making Theories)
ทฤษฎีการตัดสินใจเป็นของทุกสาขาวิชา
ผู้ริเริ่มนำทฤษฎีการตัดสินมาใช้คือนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จากนั้น สาขาวิชาอื่นก็นำไปปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นนิเวศวิทยา ชีววิทยา วิศวกรรม
สถาปัตยกรรม หรือการศึกษา ซึ่งทฤษฎีการตัดสินใจเป็นแม่แบบให้เราเห็นว่า
ทำไมการกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงออกมาเช่นนั้น
ทฤษฎีการตัดสินใจเกิดขึ้นช่วงกลางทศวรรษ
1950s
นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลุ่มแรกคือกลุ่มริชาร์ด ซี. สไนเดอร์
ได้นำแนวทางการตัดสินใจ/วิธีการศึกษา/วิธีการเข้าถึง (The Decision–making
Approach) มาทำความเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศ
โดยศึกษาวิเคราะห์เรื่องต่อไปนี้
1.วิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
2.การกระทำของรัฐเกิดขึ้นเพราะผู้ตัดสินใจเป็นผู้เลือกข้อตกลงใจ (Decision)
ซึ่งมีผลทำให้รัฐมีการกระทำในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น ทำไมจึงแซงชั่นประเทศอื่น
ทำไมจึงก่อสงครามกับประเทศอื่น หรือทำไมจึงร่วมมือกับประเทศอื่น
กลุ่มริชาร์ด ซี. สไนเดอร์ เชื่อว่า
หากศึกษาเฉพาะนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศก็จะรู้เพียงว่า การกระทำของรัฐหรือผู้แสดงบทบาทในแต่ละประเทศเป็นอย่างไร
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดการกระทำแบบนั้นออกมา
หากศึกษาทฤษฎีการตัดสินใจแล้วก็จะทำให้เข้าใจการกระทำ/พฤติกรรมของรัฐ/ผู้แสดงบทบาทว่าทำไมจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น
มีเบื้องหลังอย่างไร หรือมีแรงกระตุ้นอย่างไรจึงต้องดำเนินนโยบายเช่นนั้น
ซึ่งจะทำให้เข้าใจการกระทำในเวทีระหว่างประเทศไปด้วย
การเมืองระหว่างประเทศ
หมายถึงการใช้อำนาจของรัฐที่มีต่อรัฐอื่น
เราจึงต้องศึกษาว่าทำไมรัฐแต่ละรัฐจึงมีการกระทำเช่นนั้น
การศึกษาการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายก็จะทำให้เข้าใจการแสดงบทบาทของรัฐในเวทีระหว่างประเทศลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
เช่น สหรัฐฯทำสงครามกับอิรักในเดือนมีนาคม ค.ศ.2003
เราก็จะวิเคราะห์ว่าสหรัฐฯมีผลประโยชน์อะไร ต้องการอะไร
ทำไมจึงใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการจัดการกับระบอบการปกครองของซัดดัม ฮุสเซ็น
หรือเพราะซัดดัม ฮุสเซ็นสนับสนุนขบวนการก่อการร้ายที่ก่อเหตุในเหตุการณ์ 9/11
แต่เราไม่รู้เบื้องหลังว่าอะไรเป็นสาเหตุให้สหรัฐฯโจมตีอิรัก
แต่พอมาศึกษาทฤษฎีการตัดสินใจก็จะเข้าใจว่า อะไรเป็นจุดฉนวนให้จอร์จ บุช
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯตัดสินใจใช้ความรุนแรงจัดการกับอิรัก
หลักสำคัญของทฤษฎีการตัดสินใจ
1.ลักษณะของผู้ตัดสินใจ เช่น
เป็นคนก้าวร้าวหรือมีเหตุมีผลต่อการตัดสินใจอย่างไร
2.กระบวนการการตัดสินใจ
เป็นขั้นตอนการคัดเลือกทางเลือกของผู้กำหนดนโยบายหรือผู้ตัดสินใจว่ามีขั้นตอนหรือดำเนินการอย่างไรบ้าง
เพื่อจะคัดเลือกทางเลือกที่มีหลายทางให้เหลือเพียงทางเลือกเดียว
3.เทคนิคและเกณฑ์บรรทัดฐานที่ผู้ตัดสินใจนำมาใช้เพื่อหาข้อตกลงใจที่นำไปสู่เป้าหมาย (Gold) ของนโยบาย
การกำหนดนโยบายต่างประเทศ
การกำหนดนโยบายต่างประเทศก็คือการตัดสินใจ (Decision-making)
เพราะเมื่อนำการตัดสินใจมาใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็จะใช้คำว่า การกำหนดนโยบายต่างประเทศ
(Foreign Policy Making) ภายหลังกลุ่มริชาร์ด ซี. สไนเดอร์
และนักวิชาการกลุ่มต่างๆ ได้ใช้คำว่าการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศ (Foreign
Policy Decision Making) ทฤษฎีกลุ่มนี้จึงมีชื่อว่า Foreign
Policy Decision Making Theories
![]() |
ตัวแบบของริชาร์ด ซี. สไนเดอร์ อธิบายว่า
การกำหนดนโยบายต่างประเทศหรือการตัดสินใจจะควบคุมตัวแปรต่างๆดังภาพ
คือปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลต่อกระบวนการกำหนดนโยบาย
ในกระบวนการกำหนดนโยบายจะประกอบด้วยผู้กำหนดนโยบาย
อาจเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก็ได้ที่ทำการคัดเลือกทางเลือกที่มีหลายทางให้เหลือเพียงทางเลือกเดียว
เรียกว่าข้อตัดสินใจ/ข้อตกลงใจ หลังจากนั้นก็ประกาศใช้นโยบาย
นโยบายต่างประเทศจะมี 2 อย่างคือ
นโยบายต่างประเทศที่ประกาศใช้ และนโยบายต่างประเทศที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ
เมื่อข้อตัดสินใจ/ข้อตกลงใจประกาศออกมาแล้วแต่ไม่นำมาปฏิบัติก็จะเรียกว่านโยบายที่ประกาศใช้
แต่หากนำมาใช้แล้วก็จะเป็นการกระทำ เช่น สงคราม ความร่วมมือ ความขัดแย้ง
การแซงชั่น เมื่อมีการกระทำออกมาแล้ว
อาจจะได้รับการต่อต้านหรือสนับสนุนจากภายในและภายนอกประเทศ
จากนั้นก็จะมีการย้อนกลับเข้าไปเป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกใหม่
ผู้กำหนดนโยบายก็จะเริ่มเห็นแล้วว่ามติมหาชน องค์การระหว่างประเทศ
ปฏิญญาจากรัฐอื่น หรือปัจจัยอื่น
กลายเป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการกำหนดนโยบายอีกครั้งหนึ่ง
แต่หากนโยบายที่ประกาศใช้และดำเนินการแล้ว รัฐไม่แก้ไขหรือไม่สนใจแรงกดดันจากภายในและภายนอกเพื่อให้เปลี่ยนนโยบาย
ก็จะไม่มีการย้อนกลับไปเป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลอีก
การตัดสินใจ (Decision Making)
การตัดสินใจ คือการคัดเลือกทางเลือกหลายๆ ทาง
ซึ่งทางเลือกนั้นเป็นทางเลือกที่ไม่มีความแน่นอน หรือเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญใกล้เคียงกัน
ผู้กำหนดนโยบายจะประเมินทางเลือกแต่ละทางเลือกว่ามีข้อดีข้อเสียตรงไหน
มีเหตุมีผลอย่างไร แล้วทำการคัดเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ช่วงนี้ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกจะมีบทบาทในการตัดสินใจ
หากปัจจัยใดมีอิทธิพลก็จะส่งผลให้คัดเลือกทางเลือกนั้น
พอคัดเลือกทางเลือกออกมาแล้วก็จะเรียกว่าข้อตกลงใจ
(Decision) เมื่อประกาศใช้ก็จะเป็นนโยบาย (Policy) เมื่อนำนโยบายมาใช้ก็จะเป็นการกระทำ (Action) หลังจาก Action
แล้วก็จะเป็น Implementation แต่หากนโยบายหยุดตรงที่
Action ก็จะไม่ย้อนกลับ นโยบายหรือ Action ก็จะไม่ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ
แต่หากถึงขั้น Implementation
ก็จะย้อนกลับไปเป็นปัจจัยภายในและภายนอกใหม่
มีอิทธิพลต่อการทำการคัดเลือกทางเลือกใหม่ เราจึงจะถือว่า Implementation เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจจะรวมขั้นตอนทั้งหมดในภาพ
ข้อตัดสินใจ/ข้อตกลงใจ/การวินิจฉัย/การตัดสินสั่งการ (Decision)
Decision
คือทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดและดีที่สุดในขณะนั้น
(ศึกษาเพิ่มเติมในเอกสาร)
ตัวแบบกระบวนการตัดสินใจหรือตัวแบบของการตัดสินใจ
1.ตัวแบบของกลุ่มริชาร์ด ซี. สไนเดอร์ มีนักวิชาการที่เขียนตัวแบบนี้ 3 ท่านได้แก่ Richard C. Snyder, H.W. Bruck และ
Burton , M.
Sapin ตัวแบบนี้มีตัวแปร 3 ตัว ได้แก่
1.ปัจจัยภายใน
(Internal Setting)
2.ปัจจัยภายนอก (External Setting)
3.กระบวนการตัดสินใจ
(Decision Making Process)
อธิบายจากแผนภูมิความสัมพันธ์ของตัวแปรในเอกสารหน้า 9
1.ปัจจัยและเงื่อนไขภายในของการตัดสินใจ ประกอบด้วย
1.สภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่มนุษย์
2.สังคม
ตัวแบบนี้แยกให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่มนุษย์คือโครงสร้างและพฤติกรรมต่างๆ
ทางสังคม ได้แก่
(1) ทิศทางค่านิยมที่สำคัญร่วมกันหรือค่านิยมของคนในชาติ
เช่น ชอบประชาธิปไตย ต้องการเสรีนิยม
(2) แบบแผนสถาบันที่สำคัญ เช่น สถาบันด้านการเมือง
สถาบันทางเศรษฐกิจ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์
(3) ลักษณะขององค์การทางสังคมที่สำคัญ เช่น NGO องค์กรด้านธุรกิจ สหภาพแรงงาน
(4) การแยกแยะบทบาทและความเชี่ยวชาญ
จะมีผลต่อการกำหนดนโยบายในฐานะที่เป็นปัจจัยภายใน เช่น สหรัฐฯมีนักวิทยาศาสตร์
นักวิชาการที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะขาดองค์กรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่น
ไม่มีผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายการค้า/กฎหมายระหว่างประเทศ
ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
ความแตกต่างของแต่ละประเภทจึงมีผลต่อการกำหนดนโยบาย
(5) กลุ่ม แยกตามประเภทและหน้าที่ เช่น กลุ่มผลประโยชน์
กลุ่มทางสังคมต่างๆ กลุ่มการศึกษา พรรคการเมือง
กลุ่มเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบาย ซึ่งแต่ละประเทศจะมีไม่เหมือนกัน เช่น
สหรัฐฯมีพรรคการเมืองระบบสองพรรคและมีผลต่อการกำหนดนโยบาย ปลายปีนี้
หากพรรคเดโมแครตได้เป็นประธานาธิบดี สงครามก็จะไม่เกิดขึ้นและการค้าเสรีลดน้อยลง
(6) กระบวนการทางสังคมที่เกี่ยวข้อง เช่น
ประเทศประชาธิปไตยจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย
ส่วนประเทศเผด็จการ โอกาสที่ประชาชนจะเข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายก็จะมีน้อย
การรณรงค์ต่อต้านก็จะมีน้อย
นักวิชาการต่างๆ จะนำตัวแบบนี้ไปปรับใช้
แต่นักวิชาการรุ่นหลังจะไม่ใช้คำว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่มนุษย์
แต่จะใช้คำว่าสภาพแวดล้อมภายในประเทศที่มีบทบาทต่อผู้กำหนดนโยบาย
2.ปัจจัยและเงื่อนไขภายนอกของการตัดสินใจ ประกอบด้วย
1.สภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่มนุษย์
2.วัฒนธรรมอื่น เช่น ไทยมีวัฒนธรรมแบบศาสนาพุทธ
มาเลเซียและอินโดนีเซียจะมีวัฒนธรรมแบบศาสนาอิสลาม
ส่วนยุโรปจะมีวัฒนธรรมแบบศาสนาคริสต์ วัฒนธรรมที่ต่างกันจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายที่ต่างกัน
เช่น ไทยเราจะดูว่า
วัฒนธรรมของเพื่อนบ้านจะมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายของไทยอย่างไรบ้าง
ทั้งเรื่องปัญหาชนกลุ่มน้อย ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
หรือการร่วมมือกับอิรักในการส่งทหารไปฟื้นฟูอิรัก
3.สังคมอื่น เช่น รัฐเพื่อนบ้านมีสังคมเป็นอย่างไร
รัฐมหาอำนาจมีสังคมอย่างไร สังคมแบบเผด็จการหรือประชาธิปไตย
4.สังคมที่รวมตัวและทำหน้าที่ในฐานะรัฐและการกระทำของรัฐบาลของต่างประเทศ
เช่น การรวมกลุ่มระดับภูมิภาคของสหภาพยุโรป อาเซียน อเมริกาเหนือ WTO IMF
ปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
เพื่อให้เป็นเพียงทางเลือกเดียว 3.กระบวนการการตัดสินใจและผู้ตัดสินใจ กล่าวถึงระเบียบการและขั้นตอนการดำเนินการ
ว่าจะต้องตัดสินใจอย่างไร มีกฎหมาย/กฎเกณฑ์/ปทัสถานในการตัดสินใจอย่างไร
(ปทัสถานคือสิ่งที่ยึดถือมาช้านานในสังคมนั้น) เทคนิคที่นำมาใช้โดยผู้กำหนดนโยบายที่อยู่ในโครงสร้างของการตัดสินใจ
(ผู้ที่อยู่ในโครงสร้างการตัดสินใจคือ
ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย/รัฐธรรมนูญในการตัดสินใจ)
ผู้ตัดสินใจจะตัดสินใจเลือกทางเลือกที่มีหลายทางเลือกให้เป็นทางเลือกเดียว
จะต้องตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ ซึ่งสถานการณ์จะมี 3 อย่างคือ
1.สถานการณ์ทั่วไปเกิดขึ้นเป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น
ความร่วมมือทางการค้า ความขัดแย้งทั่วไป เกิดขึ้นในภาวะปกติ
2.สถานการณ์ในยามวิกฤติการณ์
วิกฤติการณ์คือช่วงที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนสถานการณ์จากเดิมไปสู่สถานการณ์ใหม่
เช่น วิกฤติการณ์การเงินของไทยในปีค.ศ.1997
ผู้ตัดสินใจจะต้องเลือกทางเลือกอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
และต้องคัดเลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับวิกฤติการณ์นั้นๆ
3.สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น
สถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจว่าไทยจะต้องทำ
FTA หรือไม่ จะเข้าร่วมสงครามอิรักหรือไม่
ผู้ตัดสินใจจะต้องดูว่า ช่วงนั้นสถานการณ์เป็นเรื่องใด
หากเป็นเรื่องทั่วไปก็ไม่ต้องมีขั้นตอนลึกซึ้ง ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์มาก
และไม่ต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวังมาก
แต่หากเป็นสถานการณ์วิกฤติการณ์หรือเฉพาะเจาะจง
การตัดสินใจเลือกทางเลือกก็จะต้องใช้ความระมัดระวัง ต้องมีเหตุมีผล
มีวัตถุประสงค์/เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในการคัดเลือกทางเลือก มิฉะนั้น
การทำการคัดเลือกก็จะผิดพลาด
การรับรู้
(Perception) หรือการมองโลกของผู้ตัดสินใจจะมีความสำคัญมาก
หากผู้ตัดสินใจรับรู้ไม่ถูกต้องหรือประสบการณ์ที่มีมาทำให้มองโลกในแง่ร้ายก็จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ไม่ถูกต้อง
เช่น จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯช่วงก่อนทำสงครามอิรัก
ในหนังเรื่องฟาเรนไฮน์ ช่วงที่จอร์จ บุช
เดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลและกำลังอ่านหนังสือให้เด็กอนุบาลฟัง
ที่ปรึกษาก็เข้ามาบอกว่าขณะนี้เครื่องบินลำที่หนึ่งพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรดแล้ว
บุชตะลึงนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะทำอะไร จน 7 นาทีผ่านไปก็คิดอะไรไม่ออก
ที่ปรึกษาก็เข้ามาอีกรอบบอกว่าเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรดแล้ว
บุชก็ยังนั่งเงียบ ช่วงนั้นอาจเกิดการรับรู้ของประธานาธิบดีแล้วว่าจะต้องทำอะไร
ผู้สร้างหนังพยายามจินตนาการให้เห็นว่า
บุชกำลังคิดว่าผู้ที่ตนไปมีผลประโยชน์ร่วมด้วยคือ
ตระกูลลาเดนในการขายน้ำมันและหุ้น
และกลุ่มตาลีบันที่ช่วยกันรบกับสหภาพโซเวียตกรณีที่บุกเข้าอัฟกานิสถานในปีค.ศ.1989
บุชคิดว่าทำไมคนพวกนี้จึงทำกันได้ แล้วใครจะรับผิดชอบ ช่วงที่ตัดสินใจกำหนดนโยบาย
บุชจึงโยนบาปให้ซัดดัม ฮุสเซ็น แทนที่จะมองไปที่บิล ลาเดน โดยตรง
โดยอ้างว่าอิรักมีโครงการนิวเคลียร์และอาวุธร้ายแรงในครอบครอง
รวมทั้งร่วมมือกับขบวนการอัลเคดาห์ในเหตุการณ์ 9/11 การรับรู้นี้มองว่า
หากไม่จัดการกับอิรัก อิรักก็จะเป็นภัยคุกคามในอนาคต ดังนั้นจึงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
บุชจึงตัดสินใจใช้สงครามซึ่งเป็นเครื่องมือที่รุนแรงที่สุดไปกำจัดอิรัก
การมองโลก/โลกทัศน์ของผู้ตัดสินใจ
โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจจะมีผลต่อการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
นักวิชาการกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ตัดสินใจคาดไม่ถึง ในช่วงนั้น
สถานการณ์ภายนอกก็จะมีอิทธิพลต่อผู้ตัดสินใจด้วย
องค์ประกอบของกระบวนการตัดสินใจ มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1.ขอบเขตหลักความสามารถขององค์กรที่ตัดสินใจ
อาจจะเป็นกลุ่มบุคคลหรือองค์กรก็ได้
โดยพิจารณาว่าองค์กรนั้นมีลักษณะการบังคับบัญชาอย่างไรหรือลักษณะการตัดสินใจจะเป็นอย่างไร
ทางเลือกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับขอบเขตความสามารถขององค์กรนั้นด้วย เช่น
มีผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ ใครเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ได้ให้อำนาจแก่ลูกน้อง/หน่วยงายย่อยที่เสนอความคิดเห็นเพื่อตัดสินใจหรือไม่
2.การสื่อสารและข่าวสารภายใน เช่น การรับข่าวสารภายใน
การสื่อสารจากหน่วยย่อยไปยังหน่วยใหญ่ การรับข่าวสารจากภายนอก หรือการรู้เขารู้เขา
เช่น ไทยเราประกาศใช้ CL (สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา)
เพราะข้อตกลงใน WTO
กล่าวว่าประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาก็ตาม
ที่ไม่มีเงินซื้อยาราคาแพงที่ผลิตโดยบริษัทลิขสิทธิ์ยา
ก็สามารถไปซื้อจากต่างประเทศที่ถูกกว่าหรือผลิตเองได้
กรณีนี้ตัดสินใจโดยกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์มงคล ณ สงขลา
แต่ไม่ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงต่างประเทศ
บริษัทยาจึงไปใช้อิทธิพลกับรัฐบาลอเมริกันจัดให้ไทยอยู่ในประเทศที่น่าจับตา
��งประเทศ
เช่น การรวมกลุ่มระดับภูมิภาคของสหภาพยุโรป อาเซียน อเมริกาเหนือ WTO IMF
ปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
เพื่อให้เป็นเพียงทางเลือกเดียว มองเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวหาว่า
ไทยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องยา เทป ซีดี หนังสือ เครื่องมือแพทย์
และตอนประกาศ CL ไม่ได้ให้ชี้แจงให้บริษัทยาก่อน
การจัดกลุ่มประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ
จะมี Section 337
ออกโดยสำนักงานการค้าระหว่างประเทศ (USTR) จะจัดประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกปี
ประเทศที่โดนบ่อยที่สุดคือ จีน อินเดีย และไทย
กลุ่มประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานี้จะมี 3 ลำดับคือ (1) Priority
Foreign Country ประเทศที่จับตามองเป็นอันดับแรก (2)
Priority Watch List ประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ (3)
Watch List ประเทศที่น่าจับตามอง ปีค.ศ.2006 ไทยถูกจัดอยู่ในขั้นที่
3 แต่ปีค.ศ.2007 ไทยจัดอยู่ในขั้นที่ 2 หากปีนี้ไทยถูกจัดอยู่ในขั้นที่ 1 USTR ก็จะทำการฟ้องร้องและไต่สวน
หากไต่สวนแล้วถูกตัดสินว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจริง ไทยเราก็จะถูกลงโทษด้วยการแซงชั่น
สิ่งสำคัญคือตัด GSP
GSP
คือการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ประเทศพัฒนาแล้วให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา
เช่น ลดหรือยกเว้นภาษีให้ ไทยเราได้ GSP จากสหรัฐฯเป็นอันดับ
4 (จากอดีตเคยเป็นอันดับ 1) แต่สหรัฐฯมองว่าไทยเรากำลังจะบรรลุถึงการพัฒนา
ปีค.ศ.2007 ไทยถูกตัด GSP ไป 3 รายการแล้ว เช่น
เครื่องประดับเพชรพลอย
หากไทยบรรลุถึงการพัฒนาแล้วก็จะถูกตัดทั้งระบบเหมือนสิงคโปร์หรือไต้หวัน
ไทยเรากลัวอยู่แล้วว่าจะถูกตัด GSP
จึงต้องพยายามทำให้ประเทศลดลงมาอยู่ในลำดับที่ 3
ปัจจุบันกำลังเจรจาต่อรองว่าจะทำอย่างไร
กรณี CL นี้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์
และกระทรวงต่างประเทศไม่มีการสื่อสารภายใน และไม่มีการรู้เขารู้เราคือ
เราไม่เข้าใจเกี่ยวกับระบบ Section 337 อย่างเต็มที่
คิดเพียงว่าผลประโยชน์ด้านสุขภาพอนามัยของคนในชาติมาเหนือผลประโยชน์ทางการค้า
ซึ่งการสื่อสารและข่าวสารภายในเป็นเรื่องที่สำคัญมากกลับไม่มีการสื่อสาร
ทั้งสามกระทรวงในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้เพราะถูกกดดันจากบริษัทยาอเมริกันโดยเอาการตัด GSP มาขู่
รัฐมนตรีไชยา สะสมทรัพย์ ประกาศว่าจะยกเลิก CL (โดยไม่ได้สนใจว่าบริษัทยาทำอะไรไว้กับประเทศไทย)
ภายในประเทศจึงปั่นป่วน
กลุ่มแพทย์ชนบทและเลขาอ.ย.จึงถูกย้ายเพื่อให้การเจรจายกเลิก CL ง่ายขึ้น แต่ NGO
และกลุ่มรณรงค์โรคเอดส์ก็ออกมาต่อต้าน ทั้งนี้
การตัดสินใจเลือกทางเลือกใดก็ตามต้องศึกษาองค์กรภายในและปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่น ต้องรู้ว่าบริษัทยาจะไปล็อบบี้รัฐบาลอเมริกันอย่างไร
3.แรงจูงใจของหน่วยที่ตัดสินใจหรือผู้ที่ตัดสินใจ มี 2
อย่างคือ
-เพื่อแรงจูงใจ
ผู้ตัดสินใจจะตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของรัฐเป็นหลัก เช่น เพื่อความมั่นคงปลอดภัย
เพื่อความมั่งคั่งรุ่งเรือง
-เนื่องจากแรงจูงใจ ผู้ตัดสินใจจะตัดสินใจจากเหตุผลส่วนตัว
เช่น ประสบการณ์ส่วนตัว อาชีพ ชีวิตในวัยเด็ก การศึกษา
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการรับอิทธิพลนั้นของผู้ตัดสินใจ
เช่น พอได้เป็นรัฐมนตรีคนใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข นายไชยา ก็ประกาศจะยกเลิก CL แสดงว่าอิทธิพลของบริษัทยาหรือรัฐบาลอเมริกันทำให้ต้องประกาศเช่นนั้น
แต่พอมีปัจจัยภายในเข้ามา เช่น ล่าลายเซ็นขับไล่นายไชยาหรือการต่อต้านของ
NGO
นายไชยาก็มอบภาระนี้ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงต่างประเทศไปตัดสินใจใหม่
การที่รัฐบาลตัดสินใจทางใด จะยกเลิก CL หรือไม่จึงขึ้นอยู่กับอิทธิพลของปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
4.การกระทำ จะเห็นว่า
ตัวแบบของสไนเดอร์จะข้ามขั้นจากกระบวนการตัดสินใจมาเป็นการกระทำเลย
และตัวแบบนี้เป็นแม่แบบสำคัญในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยยึดเอาการติดสินใจเป็นหลัก
2.ตัวแบบดั้งเดิมของการตัดสินใจหรือตัวแบบคลาสสิค (The Classical Decision Making) ปัจจุบันยังคงมีการยึดถือกันอย่างแพร่หลาย
มีหลักต่อไปนี้
1.ผู้ตัดสินใจหรือผู้กำหนดนโยบายจะต้องมีเหตุมีผล (Rational Actors) มีการประเมินทางได้และทางเสียของแต่ละทางเลือก
(Costs and Benefit) ในกระบวนการตัดสินใจ
ผู้ตัดสินใจจะใช้เหตุผลและเลือกทางเลือกที่สมเหตุสมผล
ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดและเกิดผลเสียน้อยที่สุด
หากเห็นว่าทางเลือกใดจะก่อประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดก็จะเลือกทางนั้น
ทั้งนี้ต้องกำหนดเป้าหมายเอาไว้ล่วงหน้าก่อน
เป้าหมาย (Gold) ต่างจากวัตถุประสงค์ (Objective) คือ
วัตถุประสงค์อาจมีหลายข้อ แต่เป้าหมายคือวัตถุประสงค์ขั้นสุดท้าย
ดังนั้นจึงต้องเอาเป้าหมายเป็นหลัก เช่น เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย
เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี
ขณะที่วัตถุประสงค์จะเป็นตัวบอกว่าจะไปถึงความมั่นคงปลอดภัยหรือความกินดีอยู่ดีนั้นได้อย่างไร
ผู้กำหนดนโยบายจึงตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คาดว่าจะไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น
2.เลือกทางเลือกที่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่คาดว่าสูงสุด
ตัวแบบดั้งเดิมของการตัดสินใจจะนำมาใช้ในการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน เช่น
นักศึกษาตัดสินใจเรียนก็จะมีทางเลือกหลายทาง เช่น เรียนปริญญาโทดีหรือไม่
สถาบันใดดีที่สุด ดูทางได้ทางเสียว่าเป็นอย่างไร จบออกไปแล้วจะทำงานอะไรได้บ้าง
นักศึกษาก็จะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดและคาดว่าเหมาะสมที่สุด
ซึ่งในขณะนั้นคือเลือกมาเรียนคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง
3.ตัวแบบของเฮอร์เบิร์ต ไซมอน เสนอตัวแบบการตัดสินใจที่พึงพอใจ (Satisfying) เนื่องจากไซมอนเห็นว่า
เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายโดยผู้ตัดสินใจจะเลือกทางเลือกที่เกิดประโยชน์สูงสุด
เพราะบางทีก็มีเงื่อนไขหรืออุปสรรคขัดขวางไม่ให้ไปถึงประโยชน์สูงสุดนั้นได้
ดังนั้น ผู้ตัดสินใจจึงต้องเลือกทางเลือกที่บรรลุถึงมาตรฐานขั้นต่ำที่สามารถยอมรับได้
(Minimum Standard of Acceptability)
แม้จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดหรือเกิดประโยชน์สูงสุดก็ตาม
4.ตัวแบบของชาลส์ ลินบลอม เสนอตัวแบบการเปรียบเทียบแบบจำกัดตามลำดับ (Successive Limited Comparison Model) ลินบลอมเสนอให้นำนโยบายเดิมที่มีอยู่มาเปลี่ยนแปลง/ปรับปรุง/แก้ไข/ต่อยอดให้ดีขึ้น
เพราะหากเลือกทางเลือกใหม่ที่คาดว่าจะให้ประโยชน์สูงสุดก็อาจจะทำไม่ได้เพราะเกินความสามารถของมนุษย์
ติดขัดเรื่องงบประมาณ หรือมีข้อจำกัดอื่น
ดังนั้นจึงต้องนำนโยบายเดิมมาต่อยอดหรือเพิ่มเติมทีละเล็กทีละน้อย (Incremental
Change) ทำให้สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของนโยบายเดิม
แล้วเลือกทางเลือกที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติ
ไทยเรานิยมนำตัวแบบนี้มาใช้ในการกำหนดนโยบายทั้งในและต่างประเทศ
เช่น นโยบายที่ใช้กับพม่า เนื่องจากนโยบายเกี่ยวพันเชิงสร้างสรรค์ไม่สามารถเป็นไปได้
เพราะถึงอย่างไรพม่าก็ไม่มีทางเปลี่ยนการปกครอง ไม่ปล่อยนางอองซานซูจี
และไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ไทยเราจึงเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเกี่ยวพันแบบยืดหยุ่น
ทำให้เราสามารถเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเผด็จการทหารของพม่าได้
ต่างประเทศเองก็นิยมนำตัวแบบนี้มากำหนดนโยบาย เช่น
นโยบายสกัดกั้นคอมมิวนิสต์หรือนโยบายปิดล้อมของสหรัฐฯ
เดิมเป็นการสกัดกั้นไม่ให้สภาพโซเวียตขยาย
tyle='font-size:18.0pt'>ปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
เพื่อให้เป็นเพียงทางเลือกเดียว
5.ตัวแบบสามแบบของแกรม อัลลิสัน (Graham Three Model) ใช้กรณีศึกษาจากวิกฤติการณ์คิวบาเข้ามาเป็นแบบ
หนังสือเล่มแรกที่ออกมาชื่อ Cuba Crisis (1971) และปีค.ศ.2000 อัลลิสันก็ได้ออกหนังสือมาอีกหนึ่งเล่ม
โดยนำตัวแบบนี้มาปรับปรุงแก้ไขและพยายามใช้แนวคิดเกี่ยวกับสัจจนิยมมาวิเคราะห์
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นคัมภีร์ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
ตัวแบบสามแบบนี้ประกอบด้วย
1.ตัวแบบผู้แสดงบทบาทมีเหตุผล (The Rational Actor Model)
2.ตัวแบบกระบวนการทางองค์การ (The Organizational Process Model)
3.ตัวแบบการเมืองแบบราชการ (The
Bureaucratic Politics Model)
วิกฤติการณ์คิวบาเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.1962 โดยสหภาพโซเวียตนำขีปนาวุธวิสัยปานกลางไปติดตั้งที่คิวบาซึ่งอยู่ห่างจากรัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกาแค่รัศมี
9 ไมล์ (1 ไมล์ = 1.67 ก.ม.)
สหรัฐฯจึงมองว่าเป็นหอกข้างแคร่เพราะสหภาพโซเวียตอาจใช้ขีปนาวุธนี้ข่มขู่สหรัฐฯเมื่อใดก็ได้
เพื่อความมั่นคงปลอดภัย
สหรัฐฯจึงหาวิธีที่จะทำให้สหภาพโซเวียตถอนอาวุธออกจากคิวบาให้ได้โดยใช้ตัวแบบทั้งสามนี้มาช่วยตัดสินใจเลือกทางเลือก
ซึ่งทางเลือกที่ออกมาคือการปิดกั้นเส้นทางเดินเรือของสหภาพโซเวียต
1.ตัวแบบผู้แสดงบทบาทมีเหตุผล (The Rational Actor Model)
การเลือกทางเลือกต้องประเมินประโยชน์ที่จะได้รับและผลเสียที่จะเกิดขึ้น
ตัวแบบนี้จะใช้เฉพาะกับผู้ตัดสินใจที่มีเหตุมีผลเท่านั้น และต้องคัดเลือกทางเลือกที่สามารถนำไปสู่เป้าหมายได้ดีที่สุดหรือก่อประโยชน์มากที่สุด
ตัวแบบนี้จึงเหมือนกับตัวแบบดั้งเดิม
ช่วงวิกฤติการณ์คิวบา
สหรัฐฯได้ใช้เครื่องบินจารกรรมไปถ่ายภาพจึงพบการติดตั้งขีปนาวุธวิสัยกลางที่คิวบาจริง
ช่วงนั้น คิวบาและสหรัฐฯบาดหมางกัน เพราะปีค.ศ.1959
คาสโตรผู้นำคิวบาได้นำลัทธิคอมมิวนิสต์มาใช้ในประเทศ
สหรัฐฯจึงพยายามโค่นล้มอำนาจของคาสโตรให้ได้ด้วยการส่ง CIA เข้าไปทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ
คาสโตรจับได้และกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามก่อนที่ CIA จะขึ้นฝั่ง
สหรัฐฯจึงตัดความสัมพันธ์กับคิวบาด้วยการไม่นำเข้าน้ำตาลซึ่งเป็นสินค้าหลักของคิวบา
คิวบาจึงหันไปหาสหภาพโซเวียต ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการณ์
เมื่อสหภาพโซเวียตนำขีปนาวุธไปติดตั้งที่คิวบา สหรัฐฯก็มีทางเลือกอยู่ 5
ทางเลือกที่จะให้สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธออกไป ได้แก่
1.Diplomacy วิธีทางการทูต คือเจรจากับคาสโตร
เพื่อให้คาสโตรไปบอกให้สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา
แต่ทางเลือกนี้ทำไม่ได้เพราะคาสโตรเกลียดสหรัฐอเมริกาที่พยายามโค่นล้มอำนาจของตนและไม่ยอมนำเข้าน้ำตาลจากคิวบา
ทางเลือกนี้จึงตัดไป
2.Negotiation เจรจาโดยตรงกับครุสชอฟผู้นำสหภาพโซเวียต เพื่อให้ถอนขีปนาวุธออกไป
แต่ทางเลือกนี้เป็นไปได้ยาก
เพราะสหรัฐฯและสหภาพโซเวียตแข่งขันกันขยายอิทธิพลในสงครามเย็น
โดยสหรัฐฯมองว่าสหภาพโซเวียตกำลังขยายอิทธิพลมาในเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ
โอกาสที่จะเจรจาแบบนิ่มนวลหรือบังคับก็จะไม่สำเร็จ ทางเลือกนี้จึงตัดไป
3.Invention การรุกราน คือยกกองทัพไปรุกรานคิวบาเพื่อเข้าไปถอนขีปนาวุธเอง
โอกาสสำเร็จยากเพราะสหรัฐฯเคยยกพลขึ้นบกมาแล้วครั้งหนึ่งในกรณีอ่าวหมูแต่ไม่สำเร็จ
และหากสหรัฐฯบุกไปถอนขีปนาวุธเอง สงครามนิวเคลียร์ก็เกิดขึ้น ทางเลือกนี้จึงตัดไป
4.Air Attack การโจมตีทางอากาศ
คือใช้เครื่องบิน 52 ทิ้งระเบิดใส่ฐานติดตั้งขีปนาวุธของคิวบา
แต่ผู้บัญชาการกองทัพอากาศบอกว่าผลจะไม่บรรลุ 100%
เพราะอาจจะทิ้งระเบิดไม่ถูกเป้าหมาย
และสหภาพโซเวียตอาจจะแก้แค้นด้วยการยิงเครื่องบินของสหรัฐฯ ทางเลือกนี้จึงตัดไป
5.Blockade การปิดกั้นทางนาวี
คือนำเรือรบของสหรัฐฯไปปิดกั้นเส้นทางเข้าออกของน่านน้ำเข้าสู่คิวบา
เพื่อไม่ให้สหภาพโซเวียตขนขีปนาวุธและเครื่องมือติดตั้งผ่านไปคิวบา
ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคเนดี้ ตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้
เพราะโอกาสที่จะเกิดสงครามไม่มี
แค่เป็นการปิดกั้นและบีบบังคับไม่ให้การติดตั้งฐานขีปนาวุธสำเร็จ
จะเห็นว่า แต่ละทางเลือกมี Costs and Benefits
แต่ละกระทรวงต่างก็ชี้แจงเหตุผลของตนเองในแต่ละทางเลือก
มีการล็อบบี้เพื่อให้เลือกทางเลือกที่ตนเสนอ เช่น
น้องชายของประธานาธิบดีเคเนดี้ล็อบบี้ให้พี่ชายเลือกการโจมตีทางอากาศ
แต่ประธานาธิบดีเคเนดี้ก็รับฟังเหตุผลของคณะที่ปรึกษา ในที่สุด
ผู้นำของประเทศก็ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ 5
เพราะมีเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์
ช่วงนี้เคเนดี้และครุสชอฟทำสัญญาสุภาพบุรุษกันว่า
นับแต่นี้ไป ถ้าสหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา
สหรัฐฯก็จะถอนขีปนาวุธออกจากตุรกี และสหรัฐฯต้องสัญญาว่านับแต่นี้ไปจะไม่ยกกองทัพไปรุกรานคิวบาอีก
ซึ่งสัญญานี้มีผลมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้น
สหภาพโซเวียตก็ยอมเสียหน้าถอนขีปนาวุธออกไปจากคิวบา ด้วยความแค้น สหภาพโซเวียตจึงประกาศว่า
ต่อไปนี้จะเดินหน้าไม่ถอยกลับ จะสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่โดยเฉพาะกองกำลังทางนาวี
เพราะเห็นแล้วว่าสหภาพโซเวียตด้อยกว่าสหรัฐฯด้านขีดความสามารถทางทหาร
2.ตัวแบบกระบวนการทางองค์การ (The Organizational Process Model) เมื่อตกลงใจแล้วว่าจะปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ
วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.1962 ประธานาธิบดีเคเนดี้ก็สั่งให้มีการปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ
เรือรบของสหรัฐฯก็ถูกส่งออกไป แต่วันที่ 23 เรือรบของสหรัฐฯไม่ยอมปฏิบัติงาน
รัฐมนตรีกลาโหมไม่สบายใจเพราะกลัวเรือของสหภาพโซเวียตจะขนขีปนาวุธเข้าไปโดยไม่มีการปิดกั้น
จึงนั่งเรือไปหาผู้บัญชาการเรือที่เป็นคนสั่งการ
ผู้บัญชาการเรือกล่าวว่าตนจะปิดกั้นก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีกลาโหมเดินทางไปนั่งในสำนักงานแล้ว
ช่วงนี้ เรือของสหภาพโซเวียตจึงผ่านเข้าไปได้แล้วหนึ่งลำ
ช่วงนี้เป็นการตัดสินใจที่ใช้ระเบียบการปฏิบัติตามมาตรฐาน (Standard Operating Procedures: SOPs)
คือไม่สนใจว่าจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร สิ่งที่เคยทำมาแล้วก็จะทำต่อไป
กรณีนี้ผู้สั่งการคือผู้บัญชาการกองทัพเรือ ไม่ใช่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม
ตัวแบบนี้ถูกนำมาใช้แล้วในช่วงก่อนที่จะมีการตัดสินใจปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ
คือมีการส่งเครื่องบินจารกรรมไปสำรวจว่ามีการติดตั้งขีปนาวุธจริงหรือไม่
โดยมีระเบียบการว่า เครื่องบินจารกรรมต้องขับโดย CIA เท่านั้นจึงจะไปจารกรรมได้ แต่กองทัพอากาศไม่ยอม
เพราะผู้ขับเครื่องบินต้องเป็นบุคลากรจากกองทัพอากาศเท่านั้น
ช่วงที่ตกลงทำจารกรรมเกิดขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม
แต่หลังจากประนีประนอมกันแล้วและตกลงว่าจะให้บุคลากรจากกองทัพอากาศขับเครื่องบินจารกรรม
แต่เนื่องจากบุคลากรจากกองทัพอากาศไม่รู้วิธีการใช้เครื่องบินจารกรรมจึงต้องฝึกอบรม
10 วัน เครื่องบินจารกรรมจึงสามารถออกไปปฏิบัติงานได้
จะเห็นว่าการยึดถือระเบียบการปฏิบัติตามมาตรฐานได้เกิดข้อเสียขึ้น
แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะเกิดข้อเสียอะไร ขอให้ปฏิบัติตามมาตรฐานก็พอแล้ว ส่วนใหญ่แล้ว การตัดสินใจของหน่วยราชการจะใช้ตัวแบบที่ 2
คือใช้ระเบียบการตามมาตรฐานที่เคยปฏิบัติมา โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร
ตัวแบบนี้ถือเป็นจุดอ่อนของการตัดสินใจ เช่น ปีค.ศ.1994
ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองโอซากา หน่วยงานที่ช่วยไม่ยอมให้คนอื่นมาช่วย
หน่วยงานที่ควรจะช่วยก็ไม่ยอมลงไปช่วยเพราะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง
จึงปล่อยให้คนล้มตายมหาศาล
กรณีการทำ FTA ระหว่างไทยกับจีนเรื่องผักผลไม้
ตอนที่เจรจาเซ็นสัญญาทำข้อตกลงเป็นกระทรวงพาณิชย์
แต่เวลาไปเซ็นลงนามเป็นกระทรวงต่างประเทศ ข้อตกลงที่เคยตกลงไว้ก็จะเก็บไว้ที่กระทรวงต่างประเทศ
เพราะกระทรวงต่างประเทศเป็นหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการค้า
เศรษฐกิจ หรือการทหาร ไทยเราตกลงกันว่าจะทำ FTA
ผักผลไม้ด้วยภาษี 0% แต่ปีค.ศ.2003
ไทยได้ตกลงกับจีนก่อนแล้วว่าผลไม้ที่ส่งไปขายให้จีนต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลจีนว่าสวนไหนที่ส่งไปขายได้
แต่กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้สนใจข้อตกลงนั้น
กระทรวงต่างประเทศก็ไม่เข้ามาชี้แจง/แนะนำว่าควรยกเลิกข้อตกลงนี้ก่อนมิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี
ปัจจุบัน ข้อตกลงนี้ก็ยังไม่ยกเลิก เพราะกระทรวงต่างประเทศยึดถือระเบียบการที่เคยปฏิบัติว่า
ผู้ที่ไปเจรจาต้องเป็นกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงต่างประเทศจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง
หากไทยเรายึดถือตัวแบบนี้อยู่ก็จะเป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
3.ตัวแบบการเมืองแบบราชการ (The
Bureaucratic Politics Model)
การเมือง หมายถึงการใช้อำนาจ
ตัวแบบการเมืองแบบราชการจึงเป็นเรื่องการเมืองในหน่วยราชการ
แต่ละหน่วยงานที่มีส่วนตัดสินใจหรือกำหนดนโยบายจะใช้อำนาจในการต่อรองและประนีประนอมกันระหว่างผู้ตัดสินใจ
โดยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันแบบหมูไปไก่มา เช่น ในวิกฤติการณ์คิวบา
มีการตกลงกันระหว่างกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงยุติธรรมว่า
หากยอมคัดเลือกทางเลือกว่าให้ใช้การปิดกั้นเส้นทางเดินเรือแล้ว
คราวต่อไปหากมีเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณหรือการทหาร กระทรวงอื่นต้องยกมือให้ด้วย
คำว่า “หมูไปไก่มา” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Pork and
Barrel (เนื้อหมูกับถังเก็บน้ำมัน)
คำนี้เกิดขึ้นในสมัยที่คนยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯใหม่ๆ
แล้วพบบ่อน้ำมันจึงเอาถังที่ตนเอาไว้เก็บไวน์ไปใส่น้ำมันแทน 1 ถัง = 1 บาร์เรล ชาวอเมริกันจึงเอาน้ำมันใส่ถังไปแลกกับเนื้อหมูของชาวอินเดียนแดง
เป็นที่มาของการแลกเปลี่ยนระหว่างสองฝ่ายในอัตราที่สมน้ำสมเนื้อกัน
ในระบบราชการจะมีการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างผู้ตัดสินใจ
ถือเป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้น ผู้ที่มีอำนาจมากจะต่อรองได้มากกว่า
แต่ก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกัน
6.กระบวนการทางปัญญา (Intellectual Process) คือผู้ตัดสินใจจะใช้สติปัญญาของตนเองเป็นหลักในการเลือกทางเลือกคือ
การมองการณ์ไกล ความคิดสร้างสรรค์ ความเฉลียวฉลาด ความรู้ความเข้าใจ ความหยั่งรู้
ประสบการณ์ และสัญชาติญาณ เช่น จอร์จ บุช
เล็งเห็นว่าหากไม่จัดการกับอิรักแบบเชือดไก่ให้ลิงดู ประเทศอื่นก็จะส่งเสริมการก่อการร้ายต่อไปและจะส่งผลร้ายต่อสหรัฐฯในอนาคตหลังจากที่เกิดเหตุการณ์
9/11 ขึ้นมา ตัวแบบนี้ หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ผู้ตัดสินใจ หากผู้ตัดสินใจไม่ฉลาด
ไม่สามารถมองการณ์ไกลได้ นโยบายที่กำหนดมาก็จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
7.กระบวนการทางสังคม (Social
Process) คือสังคมจะต้องมีบทบาทในการกำหนดนโยบายในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
โดยเฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มผลักดัน NGO ตัวแบบนี้เริ่มมีบทบาทในไทย เช่น การทำ FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่เริ่มในปีค.ศ.2004
กลุ่มต่อต้านการทำ FTA มีบทบาทมากจนทำให้การเจรจาครั้งสุดท้ายต้องล้มเลิก
เพราะมีการเดินขบวน เผาโลงศพ และเผาหุ่นประธานเจรจาซึ่งก็คือคุณนิตย์ พิบูลสงคราม
กลุ่มกุ้งและกลุ่มเหล็กจะมีบทบาทในการกำหนดนโยบายของไทย
เช่น ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
กลุ่มกุ้งได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป
ขณะนั้นไทยเราสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัสจากสหภาพยุโรป
กลุ่มกุ้งจึงถือป้ายไปที่สนามบินไทยไม่ให้รัฐบาลเซ็นสัญญาซื้อเครื่องบินหากสหภาพยุโรปยังไม่คืนสิทธิ์ GSP ให้แก่กลุ่มกุ้ง
นายกฯทักษิณจึงตัดสินใจไม่ลงนามจนกว่าสหภาพยุโรปจะคืน GSP ให้กลุ่มกุ้งไทย
กลุ่มนักธุรกิจไทยมีบทบาทให้รัฐบาลหลายสมัยต้องไปค้าขายกับจีน
โดยเฉพาะเครือเจริญโภคภัณฑ์ สำหรับมติมหาชนของไทยยังไม่มีบทบาทมากเท่าไหร่
ยกเว้นทศวรรษ 1990s ที่นักศึกษาออกมาเดินขบวนต่อต้านสินค้าจากญี่ปุ่น
เพราะไทยขาดดุลการค้าให้ญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล
ขนาดของมติมหาชนขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา หากปัญหาใหญ่ มติมหาชนก็จะมีขนาดใหญ่ไปด้วย
��การทหารของพม่าได้ต่างประเทศเองก็นิยมนำตัวแบบนี้มากำหนดนโยบาย เช่น นโยบายสกัดกั้นคอมมิวนิสต์หรือนโยบายปิดล้อมของสหรัฐฯ เดิมเป็นการสกัดกั้นไม่ให้สภาพโซเวียตขยาย tyle='font-size:18.0pt'>ปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง เพื่อให้เป็นเพียงทางเลือกเดียว
หรือการที่นายกฯทักษิณต่อต้านสหรัฐฯไม่ให้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
แต่สหรัฐฯก็ยื่นเงื่อนไขว่า หากไทยร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
ไทยก็จะได้ผลประโยชน์ในอิรักจากการขายข้าวและการลงทุนในอิรัก
เนื่องจากนายกฯทักษิณมีการรับรู้ว่าประโยชน์ทางธุรกิจมีความสำคัญมากกว่าแรงกดดันของชาวมุสลิมในตอนใต้ของประเทศที่ไม่ต้องการให้ไทยไปทำสงครามกับประเทศมุสลิมด้วยกัน
นายกฯทักษิณจึงตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ให้ประโยชน์ด้านธุรกิจมากกว่า
สมัยนายกฯชวน ทหารจะมีบทบาทในการปกครองมาก
ไทยเราจึงมีสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารของพม่าและสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าให้มีบทบาทต่อไปแทนที่จะสนับสนุนให้พม่าจัดการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
ทั้งที่ไทยได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯและสหภาพยุโรป ทั้งนี้
ผู้ตัดสินใจจะตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว
เพราะพื้นฐานความเป็นมาของตนเองทำให้ต้องเลือกทางเลือกนั้น
ทฤษฎีการตัดสินใจจะเน้นในกระบวนการตัดสินใจ
ยกเว้นกลุ่มริชาร์ด ซี. สไนเดอร์ ที่มองปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก แต่ก็ไม่มากนัก
ตัวแบบกระบวนการตัดสินใจไม่ได้พูดถึงปัจจัยภายในและภายนอกที่มีอิทธิพลว่ามีผลทำให้ผู้ตัดสินใจตัดสินใจอย่างไร
เมื่อตัดสินใจแล้วและประกาศใช้นโยบายแล้วก็ไม่ได้ดูว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร
มีผลกระทบต่อประเทศอื่นอย่างไร ได้รับการต่อต้านหรือสนับสนุนจากภายในและภายนอกอย่างไร
ไม่มองผลลัพธ์ของนโยบาย ไม่ศึกษาตัวนโยบายต่างประเทศ
เพียงแต่ให้รู้ว่าเบื้องหลังของนโยบายต่างประเทศที่กำหนดออกมาถูกกำหนดอย่างไรเท่านั้น
จึงถือเป็นจุดอ่อนของทฤษฎี
แต่หากศึกษาผลลัพธ์ของนโยบายต่างประเทศก็จะสร้างตัวแบบยาก
เพราะนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน
จึงไม่รู้ว่าจะนำนโยบายของประเทศใดมาศึกษาและอธิบาย
ตัวแบบการตัดสินใจสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสาขา
โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกตัวแบบใดในการวิเคราะห์ ข้อจำกัดคือ
1.นำมาวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของประเทศเปิดได้ดีกว่าประเทศปิด
เช่น จีนและรัสเซีย เพราะไม่รู้กระบวนการกำหนดนโยบาย ได้แต่คาดเดาเท่านั้น
กระบวนการนี้จึงเรียกว่ากล่องดำ เพราะบุคคลภายนอกไม่รู้ว่าภายในกล่องดำคืออะไร
บุคคลภายในเท่านั้นที่รู้
2.ใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่ก็ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมประเทศนั้นจึงตัดสินใจเช่นนั้น เช่น วิกฤติการณ์คิวบา
จะรู้ก็ต่อเมื่อวิกฤติจบไปแล้วและนำมาเปิดเผยภายหลังว่า
ผู้กำหนดนโยบายจะกำหนดอย่างไร ซึ่งเป็นผลดีสำหรับประเทศประชาธิปไตย
**************
คำบรรยายวิชา
PS 709 นโยบายต่างประเทศไทย
Thai Foreign Policy
ผศ.ดร.เบ็ญจมาส จีนาพันธุ์ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551 ช่วงเช้า
การกระทำของรัฐจะออกมาในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ตัดสินใจที่จะเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งให้ออกมาเป็นข้อตกลงใจ
เมื่อประกาศใช้ก็จะเป็นนโยบาย และเมื่อนำนโยบายมาใช้ก็จะเป็นการกระทำของรัฐนั้นๆ
วันนี้เป็นการบรรยายเรื่องนโยบายต่างประเทศ
ผลประโยชน์แห่งชาติโดยทั่วไปและผลประโยชน์แห่งชาติของไทย ผู้กำหนดนโยบายต่างประทศ
และปัจจัยภายในและภายนอกที่มีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของไทยเราในรัฐบาลแต่ละสมัย
**เข้าสู่เนื้อหาการบรรยาย**
นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policy)
นโยบายต่างประเทศ
คือแนวทางหรือยุทธศาสตร์ (Strategy หรือ Planning)
ที่รัฐบาลของแต่ละรัฐจะเข้าไปสัมพันธ์กับผู้แสดงบทบาทอื่นทั้งที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐ
เช่น สหรัฐฯกำหนดนโยบายต่อสู้กับขบวนการก่อการร้ายโดยกำหนดว่าจะใช้สงครามลงมือโจมตีก่อน
(Strategy คือแนวทาง/แผนการที่จะเอาชนะคู่แข่ง
สามารถใช้ได้กับทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ
�่างประเทศเองก็นิยมนำตัวแบบนี้มากำหนดนโยบาย เช่น
นโยบายสกัดกั้นคอมมิวนิสต์หรือนโยบายปิดล้อมของสหรัฐฯ
เดิมเป็นการสกัดกั้นไม่ให้สภาพโซเวียตขยาย
tyle='font-size:18.0pt'>ปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
เพื่อให้เป็นเพียงทางเลือกเดียว
ผลประโยชน์แห่งชาติ (National Interest)
ผลประโยชน์แห่งชาติ คือสิ่งต่างๆ ที่รัฐต้องการ ปรารถนา
และจำเป็น สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนของตนเอง แต่อยู่ ณ ดินแดนอื่น เช่น
สินค้า การบริการ ทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุ วัตถุดิบ แรงงาน น้ำมัน พลังงานเทคโนโลยี
ตลาดการค้า ตลาดการเงิน การลงทุนต่างประเทศ อาวุธ การช่วยเหลือต่างประเทศ
หรือความมั่นคง ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
รัฐทุกรัฐต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นเป้าหมายสำคัญและต้องทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น
รัฐต่างๆ จะมีวิธีการหรือเครื่องมือที่นำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้
ซึ่งทุกรัฐไม่ได้มีเครื่องมือพร้อมทุกด้าน
ประเทศพัฒนาแล้วจะมีขีดความสามารถด้านเศรษฐกิจ การเมืองและทหารมากกว่าประเทศอื่น
จึงมีเครื่องมือที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายมากกว่า
ขณะที่ประเทศเล็กโอกาสที่จะมีเครื่องมือที่จะทำให้เป้าหมายบรรลุจึงมีน้อย
จึงต้องอาศัยประเทศอื่นช่วย เช่น ร่วมมือกับประเทศต่างๆ
ยืมเครื่องมือของประเทศที่มีพร้อมกว่า
เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่สำคัญมี 3 ด้าน ได้แก่
1.เครื่องมือทางทหาร (Military Instruments) รัฐจะต้องมีขีดความสามารถทางทหารจึงจะใช้เครื่องมือประเภทนี้ได้
เช่น มีอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีทางทหาร
ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญที่จะใช้อาวุธเหล่านั้น
วิธีการให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการคือ เช่น สงคราม การคุกคามทางทหาร
การแข่งขันกำลังอาวุธ การซ้อมรบ
ทุกประเทศไม่ได้มีเครื่องมือทางทหาร เช่น
ลิเบียมีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องมือทางทหารที่ทันสมัย เช่น เครื่องบิน รถถัง
อาวุธ เทคโนโลยีทางทหาร
แต่ก็ขาดทหารที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือเหล่านั้น
ลิเบียจึงเอารถถังไปจอดกลางทะเลทราย ทำให้ทรายปลิวเข้าไปในรถจนไม่สามารถใช้การได้
ช่วงรบก็ต้องจ้างทหารรับจ้างจากประเทศอื่น ทำให้ต้องเสียโอกาสและผลประโยชน์ เช่น
ทศวรรษ 1970s ลิเบียพยายามสร้างอาณาจักรของศาสนาอิสลามจึงยกทัพไปตีประเทศเพื่อนบ้าน
เช่น อียิปต์ ซีเรีย เอธิโอเปีย ซูดาน
แต่ไม่สำเร็จเพราะทหารขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ
ประเทศไทยต้องการซื้อเรือดำน้ำ
เพราะประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศได้ซื้อไปแล้ว แต่ไทยก็ไม่มีเงิน
การที่จะอวดศักดาในอ่าวไทยจึงทำได้ยาก
ไทยจึงเป็นต้องเป็นสัมพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯและร่วมซ้อมรบทุกปี
เพื่อแสดงให้ประเทศอื่นเห็นว่าไทยมีประเทศอื่นคอยปกป้องช่วยเหลืออยู่ เครื่องมือทางทหารมีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศว่า
ประเทศตนมีความพร้อมที่จะดำเนินนโยบายด้านนี้หรือไม่
2.เครื่องมือทางเศรษฐกิจ (Economic Instruments) มีความสำคัญมากในยุคหลังสงครามเย็น
ประเทศนั้นจะต้องมีขีดความสามารถทางเศรษฐกิจก่อนจึงที่จะใช้เครื่องมือนี้ได้ เช่น
ตลาดการค้า ตลาดการเงิน ตลาดลงทุน งบประมาณเพียงพอ รายได้ของประเทศเพียงพอ
และมีขีดความสามารถทางทหาร เช่น
สหรัฐฯโอกาสที่มีตลาดการค้าอันเป็นที่หมายปองของประเทศต่างๆ
โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา
สหรัฐฯจึงใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจบังคับให้ประเทศอื่นทำตามความต้องการของตน
หากใครไม่ทำตามก็จะแซงชั่นทางเศรษฐกิจ (การแซงชั่นทางเศรษฐกิจ
คือมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ
เพื่อบีบบังคับหรือโน้มน้าวจูงใจให้ผู้แสดงบทบาทที่เป็นเป้าหมายปฏิบัติตามความต้องการของตน)
ประเทศไทยไม่สามารถใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจได้เต็มที่
ถึงแม้เศรษฐกิจของเราจะดีกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นก็ตาม
เพราะยังไม่มีความมั่งคั่งพอที่จะไปแซงชั่นประเทศอื่นได้ เช่น
ไทยเกิดกรณีพิพาทกับสหรัฐฯเรื่องญัตติเบิร์ก ปีค.ศ.2000
สหรัฐฯออกกฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการทุ่มตลาดว่า
หากเก็บภาษีการต่อต้านการทุ่มตลาดหรือภาษีต่อต้านการอุดหนุนจากประเทศที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฯได้
ให้เอาเงินภาษีที่เก็บได้ให้บริษัทที่ทำการฟ้องร้อง ประเทศต่างๆ 9
ประเทศจึงรวมตัวกันต่อต้าน เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย เม็กซิโก แคนาดา ไทย บราซิล
เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้ทำการฟ้องร้องไปที่องค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO ผลการตัดสินคือกลุ่มที่ฟ้องร้องเป็นฝ่ายชนะ
แต่สหรัฐฯไม่ยอมปฏิบัติตามคำตัดสิน
สหภาพยุโรปจึงทำการแซงชั่นเพื่อให้ยกเลิกญัตติเบิร์ก
ไทยเราไม่กล้าแซงชั่นเพราะกลัวถูกสหรัฐฯตัด GSP
และไทยก็ไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะไปแซงชั่นได้
เพราะหากถูกโต้ตอบการแซงชั่นแล้วไทยเราก็จะได้รับผลประทบตามมา
การให้กู้ยืมเงินหรือการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะกดดันให้ประเทศอื่นปฏิบัติตามที่ตนต้องการ
เช่น
นายกฯทักษิณพยายามโน้มน้าวชักจูงให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาสนับสนุนให้การดำเนินนโยบายของไทยสำเร็จ
เช่น ให้พม่ากู้ยืมเงิน 4,000 ล้านเหรียญ
แต่ปัจจุบันก็เป็นคดีฟ้องร้องเพราะนายกฯทักษิณอนุมัติเงินกู้โดยไม่มีการลงนามในสัญญา
และให้กู้เงินเพื่อซื้อสินค้าจากบริษัทของชินคอร์ป
ช่วงที่ไทยสามารถใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนดก็ฮึกเหิมว่าตนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น
จึงประกาศว่าจะเป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้รับอีกต่อไป
แต่ไทยก็ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่มากนัก
การให้พม่ากู้ยืมเงินก็มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น ให้พม่าเปิดทางให้ธุรกิจแก๊ส ป่าไม้
หรือการลงทุนต่างๆ
เนื่องจากเครื่องมือทางเศรษฐกิจของไทยไม่พร้อมเพราะมีเงินให้ประเทศอื่นกู้ไม่มากนัก
ในประเทศเองก็ไม่มีเงินมากพอ
ส่วนประเทศพัฒนาแล้วจะมีความพร้อมจึงสามารถใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจได้มากกว่าประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา
3.เครื่องมือทางการทูต/เครื่องมือทางการเมือง (Diplomatic Instruments/ Politics Instruments) จะใช้การเจรจาเป็นหลัก
นอกจากใช้ในทางการเมืองแล้ว เครื่องมือทางการทูตยังสามารถนำมาใช้ทางด้านการค้า
ทางเศรษฐกิจและทางทหารได้อีกด้วย
การที่จะมีเครื่องมือทางการทูตหรือทางการเมืองได้ดีจะต้องเจรจาเก่ง
สามารถพูดโน้มน้าวใจได้ดี ที่สำคัญ
นักการทูตจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองไปเจรจา เช่น ไทยทำ FTA กับจีน อินเดีย ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น แต่ขาดนักการทูตที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการค้า
นโยบายการค้า และกฎหมายการค้าของประเทศคู่ค้า ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้แค่ไม่กี่คน การเจรจาแต่ละครั้งก็ต้องรอวิ่งรอบ เช่น
ไทยเลื่อนนัดเจรจาการค้ากับญี่ปุ่นหลายครั้ง
เพราะนักการทูตที่รู้เรื่องการค้าของญี่ปุ่นกำลังไปเจรจากับประเทศอื่นอยู่
นายกฯทักษิณจึงโกรธมากเพราะทำให้ไทยเสียประโยชน์
เนื่องจากผลประโยชน์การค้าและเศรษฐกิจไม่สามารถรอได้
นักล็อบบี้จะต้องรู้เรื่องกฎหมายและกระบวนการร่างกฎหมาย
นโยบายการค้า การลงทุน การเงิน และการเมืองภายในของรัฐที่ไปเจรจาด้วย
คือต้องรอบรู้ทั้งหมดจึงจะสามารถเข้าไปเจรจาด้วยได้ ซึ่งไทยขาดกลุ่มคนเหล่านี้
เช่น ไทยทำ FTA
กับประเทศต่างๆ ผู้ที่เตรียมเรื่องให้ไปเจรจาคือข้าราชการซี 4-5
ซึ่งบางคนเป็นข้าราชการเข้าใหม่ที่เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศ รู้เฉพาะกฎของ
WTO แต่ไม่รู้เรื่องการปฏิบัติ เวลาเจรจาก็จะกางกฎของ WTO เอาไว้ เวลาร่างข้อเจรจาก็จะพยายามไม่ให้ขัดกับกฎของ WTO แต่พอไปเจรจากับประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น หรือจีน
ประเทศเหล่านี้จะไม่ดูเฉพาะกฎของ WTO แต่จะต้องรู้ข้อกฎหมายของพวกเขาที่มีลูกล่อลูกชนที่บิดเบือนจากช่องโหว่ของ
WTO การที่ไทยไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
การเจรจาทุกครั้งจึงทำให้ไทยต้องเสียเปรียบทุกครั้ง เช่น การเจรจากับจีน
ไทยเราก็ไม่รู้ว่าเคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับใบอนุญาตและไม่รู้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของจีนที่แต่ละมณฑลมีอยู่
ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ต้องไปจ้างบริษัทล็อบบี้ของสหภาพยุโรปให้ศึกษากฎหมายการค้าของสหภาพยุโรป
เพราะคนไทยไม่มีความรู้เรื่องนี้
ไทยมีข้อด้อยที่ไม่รู้เขารู้เรา
ประเทศอื่นจึงยื่นข้อเสนอที่มีสิ่งแอบแฝง เช่น
ข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องเหล็กที่ญี่ปุ่นจะมาลงทุนในไทยและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้
ลงนามในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2007 ผลออกมาคือญี่ปุ่นไม่ยอมทำ ไทยเราก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะไม่มีเครื่องมือทางเศรษฐกิจหรือทางทหารไปบีบบังคับให้เขาทำตาม ดังนั้น
ไทยจึงต้องสร้างนักเจรจา/นักการทูตทั้งการค้า การเงิน เศรษฐกิจ
และการทหารที่รู้เขารู้เรา ไม่เช่นนั้นไทยจะเสียเปรียบอยู่เรื่องไป เช่น สหรัฐฯ
หากจะมาเจรจากับไทยก็จะจ้างบริษัทให้มาสำรวจข้อมูลการตลาดของไทย
ก่อนที่มาเจรจาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับไทยทั้งหมด เช่น ใครจะเข้าถึงได้บ้าง
ต้องเข้าถึงใครก่อน ตระกูลใดสำคัญทางธุรกิจ ขณะที่ไทยไม่ได้จ้างใครไปศึกษาตลาดของสหรัฐฯเลย
รัฐบาลทักษิณพยายามสร้างนักการทูตบูรณาการ
แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นกันกับผู้ว่า CEO
นายกฯทักษิณลงทุนจ้างศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวิสเทิร์นในมลรัฐอิลลินอยส์มาบรรยาย
แต่เป็นภาษาอังกฤษ ผู้ว่าราชการไทยจึงฟังไม่รู้เรื่องและพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ถือเป็นความล้มเหลวในการสร้างผู้รอบรู้ของไทย การสร้างผู้เชี่ยวชาญจะต้องใช้เวลา
ไม่ใช่ยัดเยียดภายในวันสองวันหรือเดือนเดียว
คนไทยมักคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษและไม่จำเป็นต้องรู้การต่างประเทศ
ซึ่งเป็นผลเสียอย่างมาก เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้ปิดประเทศ
ไทยเราก็ต้องรู้เขารู้เรา
ไทยเราสร้างนักการทูตที่จะไปประจำอยู่ที่ต่างๆ
เพื่อให้พยายามหาตลาดการค้าให้ แต่ก็ทำไม่ได้
นักธุรกิจไทยจึงต้องลำบากออกหาตลาดการค้าเอง
ผิดกับสหรัฐฯที่มีนักการทูตการค้าที่รู้เรื่องเศรษฐกิจอย่างดีเข้ามาสำรวจตลาดแล้วส่งข้อมูลกลับไปให้รัฐบาล
เช่น ประเทศนี้มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างไร มีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน
เป็นการปูทางให้นักธุรกิจไปศึกษาก่อนที่จะมาลงทุนในประเทศเหล่านั้น
เพื่อจะได้ล็อบบี้หรือเข้าถูกจุด ไทยเราอาจจะทำ Background ความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ
แต่ไม่ได้เจาะลึกมากนัก (อ่านข้อมูลในท้ายเอกสารประกอบ)
ปัจจุบันอาจจะสายเกินไปสำหรับไทย เพราะมหาวิทยาลัยต่างๆ
ไม่มีการเรียนเรื่องนโยบายการค้าหรือกฎหมายการค้าของแต่ละประเทศ เรียน WTO
ก็เพียงเล็กน้อยจึงไม่มีผู้รู้อย่างกระจ่างชัด ทำให้ไทยขาดนักวิเคราะห์
เพราะขาดคนที่มีความรู้พื้นฐานและลึกซึ้ง แค่ปัญหาชายแดนภาคใต้
ไทยเราก็ไม่สามารถเจาะลึกถึงจุด หรือหากเจาะลึกถึงจุดแล้วก็ไม่กล้าพูดเพราะกลัวตาย
การที่ไทยขาดผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอาจมีเหตุจากที่ไม่กล้าเปิดเผยความจริง
ดังที่โสเครติสกล่าวว่า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย แต่อาจตายจากการพูดความจริง
ผลประโยชน์แห่งชาติของไทย (Thai National Interest)
จากคำการแถลงนโยบายของไทยตั้งแต่รัฐบาลอานันท์
ปันยาระชุน (พ.ศ.2535) มาจนถึงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ในภาคผนวกของเอกสารประกอบการบรรยาย
จะเห็นว่าไม่ได้พูดถึงผลประโยชน์แห่งชาติอย่างเด่นชัด
เพียงแต่บอกว่าทำเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ
คำว่าผลประโยชน์แห่งชาติที่เห็นได้ชัด เช่น
1.อำนาจอธิปไตยของประเทศ
เป็นอำนาจสูงสุดของรัฐในการกำหนดนโยบายและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ
โดยปราศจากการชี้นำ บงการ สั่งการ หรือครอบคลุมจากภายนอก
หากประเทศใดก็ตามสามารถกำหนดนโยบายและดำเนินเป็นอิสระถือว่ามีอำนาจอธิปไตยสูงสุด
แต่ในความเป็นจริง
เมื่อไทยต้องเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศอื่นก็ต้องปฏิบัติตามกฎบัตรหรือกฎหมายขององค์การนั้นๆ
สหรัฐฯเองก็ไม่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายของตนเอง
เพราะเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกจึงต้องทำตามกฎการค้าของ WTO
นายกฯทักษิณบอกว่า UN ไม่ใช่พ่อ แต่ UN ก็เป็นองค์การที่มีอำนาจมาก
เราจึงต้องทำตามเพราะหากไม่ทำตามก็จะถูกแซงชั่น เช่น UN
แซงชั่นอิหร่านจากที่มีโครงการนิวเคลียร์
จึงสั่งการไม่ให้ไทยค้าขายกับอิหร่านเกินโควตาที่กำหนดไว้
แต่ไทยก็ถือโอกาสขายข้าวให้อิหร่านเกินโควตา ทำให้ถูกประณามว่าละเมิดมติของ
UN การกำหนดนโยบายของไทยจึงต้องระวัง
ตราบใดที่ต้องพึ่งพารัฐอื่นหรือเป็นสมาชิกขององค์การอื่น
ไทยก็ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ตามใจชอบ
จะเห็นว่า
การกำหนดนโยบายของไทยจะถูกชี้นำและสั่งการจากภายนอกมาตลอด ขึ้นอยู่กับว่าจะหลีกเลี่ยงได้แค่ไหน
เช่น รัฐบาลทักษิณจะพยายามหลีกเลี่ยงสหรัฐฯมาตลอด โดยเอาจีนมาถ่วงดุลอำนาจ
สหรัฐฯขอให้ไทยร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
รัฐบาลทักษิณก็อ้างมติมหาชนและคะแนนเสียงจากชาวมุสลิมในประเทศ
แต่ไทยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีค.ศ.2004 ไทยต้องประกาศร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายตามที่สหรัฐฯต้องการ
2.ความมั่นคงแห่งชาติ หลังสงครามโลกครั้งที่สองถึงช่วงสงครามเย็น
(ค.ศ.1945-1973) ไทยเราจะเน้นความมั่นคงทางทหารและการเมืองเป็นอันดับหนึ่ง
สงครามเวียดนามสิ้นสุดในปีค.ศ.1975 แต่ปีค.ศ.1973
สหรัฐฯถอนทหารออกจากสงครามเวียดนามในฐานะผู้แพ้
ไทยเราจึงต้องเข้าหาจีนเพื่อให้ช่วยคุ้มครองความมั่นคงของไทย
แต่หลังสงครามเย็นสิ้นสุด (ค.ศ.1991) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็มีบทบาทเด่นชัดขึ้น
แต่ความมั่นคงทางทหารและการเมืองยังคงมีบทบาทอยู่
ไทยเราจึงหนีอิทธิพลของสหรัฐฯไม่ได้ สหรัฐฯจึงมีบทบาทต่อการกำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายของไทยมาก
ความมั่นคงจะมีทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร ณ
ที่นี้อาจารย์จะเน้นความมั่นคงทางด้านทหารเป็นหลัก
ความมั่นคงปลอดภัย (Security)
มี 2 มิติ ได้แก่
1.จิตวิสัย
(Subjective) คือความรู้สึกว่าปราศจากการถูกโจมตี การรุกราน
การคุกคาม และการก่อวินาศกรรมจากภายนอก
รวมทั้งรู้สึกว่าชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และทรัพย์สมบัติของชาติไม่ถูกทำลาย
เช่น เรารู้สึกว่าไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วจะไม่มั่นคงปลอดภัย
ขณะที่จังหวัดอื่นยังรู้สึกว่ามั่นคงปลอดภัยอยู่
ช่วงสงครามเวียดนาม ไทยเรารู้สึกไม่มีความมั่นคงปลอดภัยจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์
ไทยเราจึงส่งทหารไปรบในสงครามเวียดนามเพราะเชื่อในทฤษฎีโดมิโนที่อธิบายว่า
หากเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว
ประเทศใกล้เคียงก็จะล้มเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วยคือลาว กัมพูชา ไทย มาเลเซีย
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไล่ไปจนถึงแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ แต่ปีค.ศ.1973
สหรัฐฯถอนทหารออกไป ปีค.ศ.1975 เวียดนามเหนือแตก
เวียดนามมีอำนาจขึ้นมาจากการหนุนหลังของสหภาพโซเวียตจึงบุกเข้าไปในกัมพูชาติดชายแดนไทย
ไทยก็รู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมาอีก เพื่อให้เกิดความมั่นคง
ไทยจึงดำเนินนโยบายจับมือกับจีนเพื่อมาปกป้องความรู้สึกที่ไม่มั่นคงนี้
2.วัตถุวิสัย (Objective)
คือการปราศจากการถูกโจมตี การรุกราน และการคุกคามจากภายนอก
รวมทั้งทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนและทรัพย์สมบัติของชาติก็ไม่ถูกทำลายจากภายนอก การกำหนดนโยบายต่างประเทศด้านความมั่นคงปลอดภัยจะต้องคำนึงถึงทั้งจิตวิสัยและวัตถุวิสัย
หลังยุคสงครามเย็น ไทยเน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร
โดยเฉพาะการร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
แต่ไทยก็กลัวว่าการก่อการร้ายจะระบาดเข้ามาในประเทศ
แต่เพื่อความมั่นคงด้านความกินดีอยู่ดีและเศรษฐกิจของประเทศ
ไทยจึงจำเป็นต้องร่วมมือกับสหรัฐฯ
3.การกินดีอยู่ดีของประชาชน
เมื่อประเทศเกิดความมั่นคงทางการเมืองและทหารแล้วก็จะเน้นเรื่องความกินดีอยู่ดีของประชาชน
รัฐบาลทักษิณมีนโยบาย Dual Track เพื่อแก้ปัญหาความยากจนเพื่อให้ประชาชนระดับรากหญ้าอยู่ดีกินดี
ช่วงนี้จึงมีโครงการออกมาเป็นจำนวนมาก เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค OTOP SME ขณะเดียวกันก็เน้นการส่งออก
เปิดตลาดการค้าและการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ในสมัยนี้เน้นแก้ปัญหาความยากจนจนได้รับการรับรองจากธนาคารโลกว่า
ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ดีเพราะความยากจนลดลงเหลือ 6% แต่ก็ทอดทิ้งชนชั้นกลาง เช่น
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้กู้ยืมเงินไปซื้อบ้านในวงเงินไม่เกิน 6
แสนบาทสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท แต่ผู้ที่มีรายได้เกิน 15,000
บาทต้องเช่าบ้านอยู่ เงินก็ไม่พอใช้ ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ชนชั้นกลางไม่พอใจจึงออกมาต่อต้านรัฐบาลทักษิณ
รัฐบาลปัจจุบันเน้นการส่งออกและส่งเสริมให้คนอยู่ดีกินดีเป็นการแก้ปัญหาซ้ำรอยเดิม
คือชนชั้นกลางรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งและจะเกิดปัญหาในที่สุด
ทั้งนี้รัฐบาลไม่ควรลืมชนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้สร้างรายได้ส่วนใหญ่ให้ประเทศ
ทุกภาคส่วนควรได้อยู่ดีกินดีเหมือนกัน รัฐอาจจะมองว่าชนชั้นกลางพอมีพอกินแล้ว
แต่ก็ไม่บรรลุความพอใจของประชาชน เพราะแต่ละคนมีระดับความกินดีอยู่ดีแตกต่างกัน
นโยบายการกินดีอยู่ดีของประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ไทยเราเน้นการส่งออกถึง 70%
ของ GDP หากกำหนดผลประโยชน์แห่งชาติให้กินดีอยู่ดี
ไทยเราก็ต้องพึ่งตลาดส่งออกภายนอก
ในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศอื่นก็ต้องคำนึงถึงส่วนนี้ด้วย เช่น สหรัฐฯ
เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยถึง 15.4% ของ GDP EU 15% ญี่ปุ่น 13% จีน 13% การสร้างความกินดีอยู่ดีจึงต้องแก้ปัญหาได้มากกว่านี้
และส่งเสริมให้มีการซื้อขายภายในมากกว่าส่งออก ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก
แต่ปัจจุบันไทยเริ่มมีปัญหาเพราะคนไทยจะไม่มีข้าวกินเนื่องจากส่งออกหมด
รัฐจึงประกาศว่าจะกำหนดโควตาการส่งออกข้าว
ซึ่งจะมีผลต่อราคาข้าวของโลกและมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของไทยด้วย
(ปัจจุบันฟิลิปปินส์ประกาศห้ามส่งออกข้าว)
4.ความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองของชาติ เนื่องรายได้หลักของประเทศมาจากการส่งออก
นายกฯทักษิณจึงพยายามแก้ปัญหาเพื่อให้ภายในมีการบริโภคมากขึ้น
โดยการสร้างชนชั้นกลางเพื่อให้มาซื้อสินค้า
แต่ไทยเราก็ขาดการส่งเสริมให้ชนชั้นกลางมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะเน้นความกินดีอยู่ดีของคนจนแทน
การที่ประเทศมีรายได้หลักจากการส่งออก
ความบาดหมางหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดการค้าก็จะส่งผลกระทบต่อไทย เช่น
สหรัฐฯเกิดปัญหาวิกฤติสินเชื่อเพราะมีหนี้เสียเงินกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก
ไทยจึงส่งสินค้าไปขายให้สหรัฐฯได้น้อยลง รัฐบาลที่เน้นความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองของชาติก็ต้องเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
สร้างฐานจากรากหญ้า แก้ปัญหาการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และเน้นเศรษฐกิจส่วนอื่นแทน เช่น เน้นการบริโภคภายใน เน้นการลงทุนภายใน
เน้นการท่องเที่ยวทั้งเชิงสุขภาพอนามัยและเชิงนิเวศ เน้นทำ FTA ทวิภาคีหรือการรวมกลุ่มภูมิภาค
เพื่อแก้ปัญหาการกีดกันทางการค้าที่เป็น Tariff & Non Tariff Barrier
5.เสถียรภาพระหว่างประเทศ (International
Stability) เป็นผลประโยชน์แห่งชาติที่สูงขึ้น
ซึ่งเสถียรภาพระหว่างประเทศอาจหมายถึงสิ่งใดต่อไปนี้
1.การพยายามรักษาสถานภาพเดิม (Status Quo) เช่น
ประเทศมหาอำนาจไม่ต้องการให้อิหร่านและเกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์จึงพยายามบีบ
แซงชั่น
ต่อรองให้ผลประโยชน์เพื่อให้ทั้งสองประเทศยุติโครงการนิวเคลียร์ทั้งหมดเพื่อรักษาสภาพเดิม
หรือสหรัฐฯไม่ต้องการให้จีนมีอำนาจขึ้นมาเพื่อรักษาสภาพเดิม
สถานภาพเดิมอาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น
คงไว้ซึ่งความเป็นจ้าวโลกของสหรัฐฯที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น
ซึ่งประเทศอื่นอาจไม่พอใจนัก
แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นมีบทบาทขึ้นมาแล้วทำปัญหาให้แก่โลกจึงต้องรักษาสภาพเดิมเอาไว้
เช่น อิหร่าน ประเทศมหาอำนาจมองว่าหากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ก็จะนำไปข่มขู่ประเทศมหาอำนาจ
เราจึงต้องรู้ว่าสถานภาพเดิมคืออะไร มีขอบเขตแค่ไหน เพื่อจะได้วางนโยบายได้ถูกทาง
2.ไม่มีสงคราม
(No War) คือไม่เกิดสงครามใดๆเกิดขึ้น
ทั้งสงครามภายในหรือสงครามขนาดเล็กที่เกิดขึ้นที่ใดก็ตาม ประเทศต่างๆ
จึงต้องร่วมมือกันเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม
จัดการกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์หรือสะสมอาวุธไปรุกรานประเทศอื่น
3.ไม่มีสงครามครั้งใหญ่ (No Major
War)
ช่วงหนึ่งไทยพยายามทำตัวเป็นกลางเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของมหาอำนาจ เช่น
จีนกับสหรัฐอเมริกา จีนกับสหภาพยุโรป จีนกับญี่ปุ่น
เพื่อไม่ให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างมหาอำนาจเหล่านั้น
เสถียรภาพระหว่างประเทศเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องนำไปกำหนดนโยบายต่างประเทศ
แม้นโยบายจะออกมาสวยหรู แต่การปฏิบัติค่อนข้างลำบาก
ไทยเราจึงต้องร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อให้เกิดเสถียรภาพระหว่างประเทศทั้งสามความหมายข้างต้น
6.สันติภาพ
คือการไม่มีสงครามและไม่มีการตระเตรียมอาวุธไว้ทำสงคราม
ไทยเราต้องการให้เกิดสันติภาพ เพราะการดำเนินนโยบาย เช่น
ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ความมั่งคั่งความเจริญรุ่งเรือง
หรือความมั่นคงก็จะสามารถทำได้ แต่การทำให้เกิดสันติภาพได้เป็นสิ่งที่ยากมาก
ไทยเราจึงไปร่วมมือกับองค์การหรือประเทศอื่น เช่น ร่วมกับ UN ในการรักษาสันติภาพ
ฟื้นฟูประเทศอื่นหลังสงครามเพื่อไม่ให้เกิดสงครามครั้งใหม่
พยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดสงครามขึ้น
7.ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย
ได้กำหนดนโยบายต่างประเทศว่าเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่กรณีพม่า
ไทยก็ไม่สามารถกดดันหรือโน้มน้าวให้พม่าเปลี่ยนการปกครองแบบเผด็จการทหารมาเป็นประชาธิปไตยได้
เพราะไทยได้ประโยชน์จากการมีสัมพันธ์กับพม่ามากกว่า เช่น แก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยตามชายแดนหรือการค้ายา
ได้ประโยชน์จากการค้าไม้ การวางท่อแก๊ส หรือการลงทุนในพม่า
สำหรับการประกาศให้ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน พวกลัทธิ Falungang (เป็นกลุ่มที่ทำกิจกรรมประเภทรำมวยจีนและแสวงธรรม
แต่แอบแฝงด้วยการต่อต้านรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนจึงจับไปทรมานหรือขังคุกเพื่อไม่ให้ต่อต้านรัฐบาลอีก)
กลุ่มนี้ได้จากจีนเข้ามาขอจัดประชุมในประเทศไทย
รัฐบาลชวนจึงประกาศว่าตราบใดที่การประชุมของ Falungang
ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทยหรือเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นและเป็นการประชุมอย่างสงบก็ให้อนุญาตให้จัดประชุมได้
แต่รัฐบาลทักษิณไม่ได้ประกาศนโยบายที่เน้นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน จึงไม่อนุญาตให้ Falungang จัดประชุมในไทย
เพราะเกรงว่าจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของไทยและของประเทศอื่น
ปัญหาสิทธิมนุษยชนจึงมาหลังจากผลประโยชน์ด้านอื่น
เป้าหมายของไทยที่คำนึงสิทธิมนุษยชนจึงมีน้อย เพราะไทยเราไม่มีหน้าที่ที่จะทำให้ประเทศอื่นเป็นประชาธิปไตยหรือมีสิทธิมนุษยชน
กรณีพม่า มีกฎอาเซียนบอกว่าจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น นายนพดล
รัฐมนตรีต่างประเทศจึงประกาศว่า เรื่องพม่าเป็นเรื่องภายใน
ปล่อยให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอาเซียน
กรอบของการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ผู้กำหนดนโยบายหรือผู้ตัดสินใจจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ (ดูเอกสารหน้า 24
ประกอบ)
1.ค่านิยมแห่งชาติ
เป็นหัวใจสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบาย/ผู้ตัดสินใจจะต้องคำนึงเป็นอันดับแรก ได้แก่
-ความอยู่รอด เป็นหัวใจอันดับหนึ่งของประเทศ
-ความมั่งคั่ง
-เกียรติยศและศักดิ์ศรี
ไทยไม่ต้องการเสียหน้าหรือยอมอยู่ใต้คนอื่น แต่จริงๆ
แล้วความอยู่รอดและความมั่งคั่งมักอยู่เหนือเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเรา
-เสรีภาพ
ค่านิยมแห่งชาติ คือสิ่งที่ยึดถือ สิ่งที่ดีงาม
สิ่งที่ยอมรับว่ามีคุณค่า เช่น สหรัฐฯ มีความมั่นคงและประชาธิปไตยเป็นอันดับหนึ่ง
ส่วนการกินดีอยู่ดีเป็นอันดับรอง ดังนั้น
ความมั่นคงทางทหารและทางการเมืองของสหรัฐฯจึงมาเหนือกว่าความมั่งคั่ง
ส่วนไทยเรามีความอยู่รอดและความมั่นคงเป็นหัวใจสำคัญ
2.ผลประโยชน์แห่งชาติ เป็นเป้าหมายของประเทศ
3.ยุทธศาสตร์แห่งชาติ
คือแผนการแห่งชาติที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เช่น
ทำอย่างไรจึงจะเกิดความมั่นคง ในยุคสงครามเย็น (ก่อนค.ศ.1973)
เพื่อสร้างความมั่นคง ไทยจึงเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
การวางแผนยุทธศาสตร์คือการทำตามสหรัฐฯ เช่น สหรัฐฯส่งทหารไปรบในสงครามเกาหลี
ไทยเราก็ต้องส่งทหารตามไปด้วย แต่ถอนสหรัฐฯสหรัฐฯถอนกำลังออกจากสงครามเวียดนาม
ไทยจึงหันไปหาจีนเพื่อให้มาช่วยคุ้มครองความมั่นคงให้
โดยวางแผนว่าเราต้องมีสัมพันธ์กับจีน ต้องซื้ออาวุธจากจีน
ดึงจีนมาคุ้มครองปกป้องการคุกคามของเวียดนาม
4.ระบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ระบบคือสิ่งๆหนึ่งที่ประกอบด้วยส่วนย่อยต่างๆ
และส่วนย่อยเหล่านั้นจะสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น
ระบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงโยงตั้งแต่ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก
กระบวนการกำหนดนโยบาย ข้อตกลงใจ นโยบาย การกระทำ และข้อมูลย้อนกลับไปเป็นปัจจัยภายในและภายนอกใหม่
ในระบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศจะประกอบด้วย
-ผู้กำหนดนโยบาย
-กฎหมาย เช่น กฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายมีทางเลือกน้อยลง
-สถาบันต่างๆ เช่น ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ รัฐสภา
เป็นสถาบันที่มีอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
-งบประมาณ เป็นตัวกำหนดว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนจึงจะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
เช่น เรากำหนดนโยบายออกไปแล้วแต่ไม่มีงบประมาณเพียงพอจึงไม่สามารถปฏิบัติได้
หรือกฎหมายระหว่างประเทศห้ามไม่ให้ทำ
5.นโยบายต่างประเทศของไทย เนื่องจากนโยบายมี 2 ประเภทคือ
นโยบายประกาศใช้และนโยบายที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ
นโยบายต่างประเทศไทยจัดเป็นนโยบายที่ประกาศใช้ มีหลายด้านได้แก่
-นโยบายด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
การกู้ยืมเงินต่างประเทศ การให้ต่างประเทศกู้ยืมเงิน
การร่วมมือด้านการเงินกับญี่ปุ่น
-นโยบายทางทหาร เช่น การรักษาความมั่นคง การรักษาสันติภาพ
-นโยบายทางการเมือง เช่น การสัมพันธมิตร การเจรจา
การเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศและสถาบันระหว่างประเทศ
เพื่อให้ไทยมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น
-นโยบายด้านอื่น เช่น สิทธิมนุษยชน สภาพแวดล้อม
งานวิชาการ
6.ท่าทีและการกระทำระหว่างประเทศ ถือเป็นนโยบายที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ
เช่น ไทยมีท่าทีต่อพม่าอย่างไร การศึกษาท่าทีจึงต้องศึกษาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ขณะเดียวกันก็ศึกษาตัวนโยบายต่างประเทศไปด้วย
ซึ่งท่าทีและการกระทำระหว่างประเทศจะย้อนกลับไปเป็นปัจจัยภายนอกและภายในอีกครั้งหนึ่ง
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ
จากกรอบหน้า 29 จะเห็นว่า
ผู้กำหนดนโยบายจะได้รับทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
ขณะเดียวกันก็จะได้รับอิทธิพลจากข้าราชการจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ
รวมถึงผู้มีอิทธิพลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้นจึงแบ่งผู้กำหนดนโยบายออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.ผู้กำหนดนโยบายที่มีอำนาจตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ
2.ผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
แต่ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ เพียงแค่เสนอแนะว่าควรจะกำหนดนโยบายอย่างไร เช่น
ข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรม ที่มีอิทธิพล หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน
ช่วงหลังรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.2006
พอรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งจะกำหนดนโยบาย ก็ได้มีการต่อต้านการทำ FTA ต่อต้านการลงทุนจากต่างประเทศ
และต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
แต่คณะกรรมการภาครัฐและเอกชนก็ได้เสนอนโยบายให้รัฐบาลสุรยุทธ์เหมือนนโยบายสมัยรัฐบาลทักษิณ
มี 7 ข้อ เช่น ทำ FTA แปรรูปรัฐวิสาหกิจ จะเห็นว่า
ช่วงแรกรัฐบาลสุรยุทธ์จะไม่ทำ FTA กับต่างประเทศ
แต่ท้ายที่สุดก็ต้องไปลงนามเจเทปป้ากับญี่ปุ่นในเรื่องการค้าการลงทุนและร่วมมือด้านอื่น
โดยไม่ผ่านสภา แสดงให้เห็นว่า
ผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในภาครัฐและภาคเอกชนจะมีอิทธิพลมาก
นโยบายช่วงหลังของรัฐบาลสุรยุทธ์จึงเหมือนกับนโยบายของสมัยทักษิณ
3.ผู้ที่มีอิทธิพลต่อไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
และไม่มีส่วนในการตัดสินใจ เช่น กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มผลประโยชน์ทั้งหมด NGOs มติมหาชน พรรคการเมือง
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
1.ฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แตกต่างกันคือ
รัฐธรรมนูญฉบับ2540
เน้นให้อำนาจการกำหนดนโยบายต่างประเทศแก่ฝ่ายบริหารมากกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ
อาจกล่าวได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจเลยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
เพียงแค่ให้ความเห็นชอบเท่านั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดทางให้
ฝ่ายบริหารจึงใช้อำนาจเกินที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้หรือที่เรียกว่าอำนาจนิยม
คือจัดการเองทุกอย่าง เช่น เจรจา FTA โดยไม่ปรึกษาใคร ลงนาม FTA เองและนำมาใช้
ทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคทางการค้าตามมามาก เช่น FTA
ระหว่างไทยกับจีน ไทยต้องเจอมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีหลายอย่างทั้งสารปนเปื้อน
ใบอนุญาต โรคของพืชผลไม้ และภาษีภายใน ไทยเก็บแค่ 3%
แต่จีนเก็บไทยถึง 7% จากปัญหานี้ ผู้ร่างรัฐธรรมฉบับ 2550
จึงแก้ปัญหาด้วยการให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติมากขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลทักษิณในสมัยที่สองคุมเสียงข้างมากในสภา
ทำให้เจรจากับประเทศใดก็ได้ตามอำเภอใจโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เช่น
ไม่เตรียมผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้กฎหมายของประเทศคู่เจรจา ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ
ไม่เป็นนักการค้า ไม่เคยเจอปัญหา เอาเพียงกฎของ WTO มาช่วยร่างเท่านั้นแล้วนำไปให้ผู้เจรจา
ผู้เจรจาก็ไม่รู้จึงว่าไปตามนั้น ผลคือเกิดข้อเสียต่อไทยมากมาย แต่ปัจจุบัน
รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ก็ต้องการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190
จากโครงสร้างของการกำหนดนโยบายของไทย
ผู้ที่กำหนดนโยบายที่สำคัญคือ
1.1 นายกรัฐมนตรี
มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเลือกทางเลือกใด
จึงต้องอยู่พื้นฐานของนายกรัฐมนตรีว่ามีความรอบรู้มากแค่ไหน เช่น รัฐบาลที่ผ่านมาเจรจาตกลงว่าจะซื้อเครื่องบินของสวีเดน
แต่รัฐบาลสมัครไม่มีความรอบรู้ หนังสือพิมพ์เขียนว่า
นายกฯไม่มีความรอบรู้เรื่องเครื่องบิน
แต่โชคดีมีหลานเขยสะสมเครื่องบินจึงรู้ว่าเครื่องบินของสวีเดนถูกกว่าแต่มีคุณภาพสู้สหรัฐฯไม่ได้
แต่หากซื้อแล้วอะไหล่จะตามมา ส่วนเครื่องบินของสหรัฐฯราคาแพงแต่คุณภาพดี
แต่ซื้อแล้วจะได้แค่ตัวเครื่อง เราต้องซื้ออะไหล่ที่มีราคาแพงจากที่อื่นเอง
จากคำแนะนำของหลานเขย นายกฯสมัครจึงตกลงที่จะลงนาม
นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารจะมีหน้าที่โดยตรงที่จะควบคุมดูแลและรับผิดชอบเรื่องนโยบายต่างประเทศที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับต่างประเทศ
และต้องกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติด้วย ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีจะต้องแถลงนโยบายทั้งในและต่างประเทศต่อรัฐสภา
แต่จะปฏิบัติได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นับตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมาจะเห็นบทบาทของนายกรัฐมนตรีโดดเด่นอย่างมาก
เช่น รัฐบาลชาติชายใช้นโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้า
หรือรัฐบาลทักษิณประกาศนโยบายการเกี่ยวพันที่รุกหน้า เน้นการค้าเสรี เน้นทำ FTA กับมหาอำนาจทั้งหลาย
และเน้นการส่งออกเพราะมองว่าการส่งออกและการลงทุนเป็นรายได้หลักของประเทศ
รัฐบาลทักษิณได้ริเริ่มนโยบายสร้างความร่วมมือเอเชีย (ACD) สหรัฐฯจึงมองว่าไทยพยายามจะเป็นผู้นำในเอเชีย
ไทยพยายามรวมกลุ่มภูมิภาค เน้นภูมิภาคนิยม สร้างความเป็น อิสระจากมหาอำนาจโดยการผนึกกำลังกันในเอเชียด้วยกัน
โดยพยายามตั้งพันธบัตรเอเชียและสร้าง ASEAN
+3 และภายหลังก็นำเอาอีกหลายประเทศมารวมด้วย เช่น อินเดีย
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ในสมัยทักษิณ
ต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯจะพูดถึงนโยบายต่างประเทศของไทยก็จะพูดถึงนายกฯทักษิณ
ไม่ได้พูดถึงรัฐบาลทักษิณ เช่น นโยบายต่อต้านมหาอำนาจ
นโยบายดึงจีนเข้ามาถ่วงดุลกับสหรัฐฯ การสร้างเขตการค้าเสรีเอเชีย เอเชียบอนด์ หรือ ACD เพราะล้วนมาจากนายกฯทักษิณทั้งสิ้น
ในฐานะที่เป็นผู้นำของรัฐบาลและมีอำนาจเด็ดขาดขั้นสุดท้ายในการเลือกทางเลือกเพื่อกำหนดเป็นนโยบาย
นายกรัฐมนตรีจึงมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก หากได้นายกรัฐมนตรีที่เก่งการต่างประเทศและภาษาอังกฤษ
ไทยเราก็จะรุ่งโรจน์ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สหรัฐฯยังชมว่าการใช้นโยบายถ่วงดุลอำนาจเป็นนโยบายคลาสสิคที่ประเทศต่างๆจะทำเลียนแบบโดยมีไทยเป็นตัวแบบ
แต่หลังจากที่นายกฯทักษิณถูกทำรัฐประหาร สหรัฐฯและสหภาพยุโรปผิดหวังมาก
เพราะคิดว่านายกฯทักษิณจะเป็นผู้นำเอเชียและทำให้ไทยรุ่งโรจน์จึงประกาศว่า
ไทยเราจะไม่มีนายกรัฐมนตรีแบบนี้อีกแล้วเป็นสิบๆปี
ที่จะรู้เรื่องเศรษฐกิจและการต่างประเทศเป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันก็แอบดีใจที่ไม่มีคนขัดขวางไม่ให้ตนเข้ามาในเอเชีย
ต่างประเทศฝากบอกไทยว่า นายกรัฐมนตรีที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งก็ไม่ควรพูดอะไรในการเจรจา
เพราะอาจจะใช้ความผิดและเกิดข้อผิดพลาดได้ ฝรั่งก็จะใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดนี้
เช่น นายกรัฐมนตรีไทยสมัยหนึ่งติดพูดว่า No
Problem เวลาฝรั่งพูดอะไรก็จะพูดตอบว่า No Problem ฝรั่งจะเข้าใจว่าคำนี้เป็นการตอบรับ แต่คนไทยคิดว่ารับเอาไว้ก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ทีหลัง
นายกรัฐมนตรีของจีนจะไม่พูดภาษาอังกฤษเองแม้จะพูดได้
แต่จะมีล่ามที่เก่งภาษาและใช้ภาษาที่ถูกต้อง เพราะภาษาพูดที่ง่ายๆ
อาจจะตีความผิดและใช้คำบกพร่อง ฝ่ายตรงข้ามก็จะฉวยโอกาสนี้ไป
นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทในการกุมบังเหียนของนโยบายต่างประเทศ
หากได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้เรื่องต่างประเทศก็จะลำบาก เช่น สหรัฐฯ ช่วงที่จอร์จ
บุช ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีใหม่ๆ
ได้ถูกวิจารณ์ว่าทำหน้าไม่รู้เรื่องเพราะไม่เคยไปต่างประเทศ แต่หลังเหตุการณ์ 9/11
จอร์จ บุช ก็ตื่นขึ้นมาศึกษาการต่างประเทศและเปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็นผู้นำที่แข็งกร้าว
ก้าวร้าว อนุรักษ์นิยม ใช้ความรุนแรง ซึ่งจอร์จ บุช
มีที่ปรึกษามากแต่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่สนใจใคร
บุชได้ตำแหน่งสองสมัยเพราะรู้เรื่องการต่างประเทศเป็นอย่างดี
ขณะที่ผู้นำของไทยไม่เป็นที่ยอมรับนับถือจากต่างประเทศ เพราะมองว่าไม่มีความรู้เรื่องต่างประเทศและไม่ได้ภาษาอังกฤษ
ยกย่องเพียงนายกฯทักษิณเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำระหว่างประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับ 2550
ไปลดบทบาทของฝ่ายบริหารก็จะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือลดอำนาจนิยม
แต่ข้อเสียคือผู้นำจะต้องตัดสินใจเด็ดขาด หากผู้นำมีความรู้ความเชี่ยวชาญก็จะเกิดผลดีต่อประเทศ
แต่หากไม่มีความรู้ก็จะกลายเป็นเครื่องมือของที่ปรึกษาหรือคนใกล้เคียงที่จะเอาผลประโยชน์ให้ตนเอง
ดังนั้นจึงต้องสร้างสมดุลระหว่างอำนาจของผู้นำและอำนาจที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญดังกล่าว
***************
คำบรรยายวิชา
PS 709 นโยบายต่างประเทศไทย
Thai Foreign Policy
ผศ.ดร.เบ็ญจมาส จีนาพันธุ์ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551 ช่วงบ่าย
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
(ต่อ)
1.ฝ่ายบริหาร ได้แก่
1.1 นายกรัฐมนตรี สิ่งสำคัญของนายกรัฐมนตรีในฐานะที่มีบทบาทเป็นผู้นำของฝ่ายบริหารคือ
(1)
การรับรู้หรือโลกทัศน์ (Perception) หากนายกรัฐมนตรีมองโลกในแง่ดี มองแบบกว้างขวางและแบบเสรีนิยม
ก็จะกำหนดนโยบายของไทยในการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ
รับการค้าและการลงทุนของต่างประเทศเข้ามา
แต่หากนายกรัฐมนตรีปิดกั้นไม่ให้ไทยเข้าไปสัมพันธ์กับใคร เช่น
นายกฯทักษิณในช่วงแรกรับรู้ว่าสหรัฐฯใช้อิทธิพลกับไทยและเข้ามามีบทบาทในนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ช่วงแรกจึงปฏิเสธการร้องขอของสหรัฐฯในการเข้าร่วมต่อต้านการก่อการร้าย
แต่หลังนายกฯทักษิณมองว่าไทยขาดสหรัฐฯไม่ได้ เพราะต้องพึ่งสหรัฐฯด้านเศรษฐกิจ
การส่งออก และผลประโยชน์ที่จะเข้าไปกอบโกยในอิรัก นโยบายต่างประเทศของไทยจึงเอนไปหาสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่ง
ช่วงหนึ่งที่นายกฯทักษิณไม่เห็นความสำคัญของมาเลเซียช่วงที่จะแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียขาดไปช่วงหนึ่ง
ภายหลังมองว่ามาเลเซียมีความสำคัญจึงต้องเข้าไปร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
(2) ประสบการณ์ด้านต่างประเทศ
มีผลทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยวิ่งเข้าหาความสัมพันธ์ระดับโลกหรือถอยออกมา
ในยุคโลกาภิวัตน์หากไทยไม่มีผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์ด้านต่างประเทศก็จะมีผลกระทบต่อไทย
ดังที่หลายคนได้เปรียบไปแล้วระหว่างนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาและนายกฯทักษิณ
ปัจจุบันเราจึงต้องดูว่านายกฯสมัครจะเป็นอย่างไร
1.2 กระทรวงต่างประเทศ เป็นองค์กรหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ช่วงก่อนรัฐบาลอานันท์ ปันยาระชุน กระทรวงต่างประเทศจะถูกลดบทบาทลง
การกำหนดนโยบายต่างประเทศจะอยู่ในมือของสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เพราะช่วงนั้นไทยเรามีการปกครองโดยทหารจึงให้ความสำคัญกับสภาความมั่นคงเป็นหลัก
ไทยเราจึงเน้นความอยู่รอดของชาติมากกว่าเน้นเศรษฐกิจ แต่ในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ
กระทรวงต่างประเทศก็กลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง
โดยเน้นการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้าหลังจากที่เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาในปีค.ศ.1989
ช่วงแรก กระทรวงต่างประเทศจะเป็นเสมือนแดนสนธยา
คือคนภายนอกองค์การเข้าไปรับรู้การกำหนดนโยบายต่างประเทศได้ยาก แม้กระทั่งปัจจุบัน
การที่จะเข้าไปศึกษานโยบายต่างประเทศก็ยังยากเหมือนเดิม
ศึกษาได้เฉพาะแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี
หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
เราจึงไม่เข้าใจนโยบายต่างประเทศของไทยเพราะไม่ได้เจาะลึกเนื้อหาและแนวทางปฏิบัติ
แม้ปัจจุบันจะมีการเปิดกว้างให้องค์กรภายนอกเข้าไปรับรู้และตรวจสอบการกำหนดนโยบายมากขึ้น
เช่น กลุ่ม FTA Watch จะเข้าไปติดตามและตรวจสอบว่าการทำ
FTA กับประเทศอื่นของไทย ทำให้ไทยเสียเปรียบตรงไหน
แต่ก็ไม่มีอิทธิพลมากนัก เช่น ไม่สามารถยับยั้งรัฐบาลไปทำ FTA กับญี่ปุ่นโดยไม่ได้ตรวจสอบจุดอ่อนก่อน การกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงเป็นเรื่องลึกลับของกระทรวงต่างประเทศ
เราจะรู้ก็ตอนที่มีการกำหนดนโยบายออกมาแล้ว
ซึ่งในภาคปฏิบัติไม่สามารถดูแค่คำแถลงการณ์ได้ เพราะจะต้องดูว่ามันมีผลอย่างไร
ใครมีบทบาทแค่ไหนในการกำหนดนโยบาย
กระทรวงต่างประเทศ นอกจากมีหน้าที่ดูแลการต่างประเทศแล้ว
ยังมีหน้าที่ส่งเสริมด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งทวิภาคี พหุภาคี
และกลุ่มภูมิภาคอีกด้วย ช่วงหลัง
ไทยเราเน้นเจรจาจัดตั้งเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคีและการรวมกลุ่มภูมิภาค
กระทรวงต่างประเทศก็จะเข้ามาร่วมรับรู้ด้วย เช่น การเจรจาการค้า
กระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเจรจา แต่เวลาลงนาม
กระทรวงต่างประเทศจะต้องเข้าร่วมลงนามเพราะจะได้ทราบนโยบายต่างประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้
กระทรวงต่างประเทศยังให้คำปรึกษาและเสนอแนะเชิงนโยบายต่างๆให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการเจรจา
รวมทั้งชี้แนะว่าควรดำเนินขั้นตอนอย่างไรและมีการลงนามอย่างไร เช่น
กระทรวงกลาโหมเจรจาเรื่องซื้ออาวุธ
หรือกระทรวงต่างประเทศเจรจาเรื่องการจัดตั้งเขตการค้า
ภารกิจของกระทรวงต่างประเทศในปัจจุบันจะมีขอบเขตกว้างมาก
ทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการทหาร การลงทุนระหว่างประเทศ
การร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยว
ด้วยเหตุนี้
กระทรวงต่างประเทศจึงมีข้อมูลความสัมพันธ์กับประเทศอื่นมากกว่ากระทรวงพาณิชย์
เจ้าหน้าที่/ข้าราชการของกระทรวงต่างประเทศจึงต้องมีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆด้วย
กระทรวงต่างประเทศจึงมีกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเอเชียตะวันออก
กรมที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาเหนือ
1.3
สภาความมั่นคงแห่งชาติ
จัดตั้งในปีค.ศ.2002 เดิมเป็นสภาป้องกันราชอาณาจักรที่เน้นการทหาร ความมั่นคง
และความอยู่รอดของประเทศเป็นหลัก
สภาความมั่นคงแห่งชาติจึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศ ทั้งในแง่ความมั่นคง
การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร สังคม และอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
สภาความมั่นคงแหล่งชาติจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
และมีรองนายกฯเป็นรองประธาน และมีสมาชิกจากส่วนต่างๆ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม
รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และเลขาธิการความมั่นคง สิ่งที่ขาดไปคือรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะในยุคหลังสงครามเย็น
เศรษฐกิจจะนำการเมืองและการทหาร
แต่สภาความมั่นคงก็ยังเน้นความมั่นคงด้านการเมืองและการทหารมากกว่าด้านเศรษฐกิจ
หน้าที่หลักด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจจึงต้องตกเป็นของกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แทนที่จะอยู่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วย
คนจึงเข้าใจว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์แห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางการเมืองและทางทหารเท่านั้น
รัฐบาลทักษิณได้พยายามลดบทบาทของทหารไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
การกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงเน้นกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก
ทั้งสองกระทรวงจึงมีบทบาทมากขึ้นทั้งเรื่องการค้าและการพาณิชย์
สภาความมั่นคงแห่งชาติจึงลดบทบาทลง
1.4 กระทรวงพาณิชย์ เน้นการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก
โดยเฉพาะช่วงที่มีรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เช่น
ร.ม.ต.อดิศัย สามารถทำให้เศรษฐกิจของชาติดีขึ้นโดยเน้นการส่งออก และร.ม.ต.สมคิด
ก็ยิ่งทำให้กระทรวงพาณิชย์มีความรุ่งเรืองในการกำหนดนโยบายต่างประเทศด้านการค้ามากยิ่งขึ้น
เนื่องจาก 70% ของ GDP เน้นการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์จึงมีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ช่วงที่ผ่านมา
ร.ม.ช.พาณิชย์กล่าวว่าหลังจากที่ไทยเรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว
ไทยเราก็จะย้อนกลับไปทำ FTA
กับสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หยุดชะงักไปในสมัยรัฐบาลทักษิณเพราะมีการต่อต้านของ
FTA Watch และก็เกิดการรัฐประหาร
แต่หนังสือพิมพ์ก็ไปสัมภาษณ์คุณชุติมาอธิบดีกรมเจรจาการค้า คุณชุติมากล่าวว่า
การเจรจา FTA
กับสหรัฐฯอาจจะเกิดขึ้นแต่ต้องรอรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯก่อน
หากได้รัฐบาลจากพรรครีพับลิกันก็จะมีการทำ FTA แต่หากได้รัฐบาลจากพรรคเดโมแครต
การเจรจา FTA ก็จะน้อยลง หากสหรัฐฯไปเจรจา FTA กับประเทศอื่น ไทยก็จะเจรจาด้วย แต่หากสหรัฐฯหยุดการเจรจา
ไทยเราก็จะไม่เจรจา จากการสัมภาษณ์นี้แสดงให้เห็นว่า
บทบาทสำคัญจะอยู่ที่อธิบดีกรมการค้า
1.5
กระทรวงกลาโหม มีบทบาทมากในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
โดยเฉพาะช่วงรัฐบาลทหาร
ทหารจะมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารของพม่าจึงดึงนโยบายต่างประเทศของไทยให้เอนเอียงไปทางรัฐบาลทหารพม่า
เพราะพูดจากันรู้เรื่องมากกว่าไปเจรจากับรัฐบาลพลเรือน
ไทยเราจึงดำเนินนโยบายที่ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯในการแซงชั่นและบังคับให้พม่ามีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
ขณะเดียวกัน ทหารก็ดึงไทยให้เอนเอียงไปทางจีนเพราะทหารซื้ออาวุธจากจีน
ช่วงสงครามเย็น
สหรัฐฯมีบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการทำสงครามเวียดนาม
นโยบายไทยก็จะเอนไปทางสหรัฐฯหรือมหาอำนาจที่จะให้ผลประโยชน์ต่อฝ่ายทหาร เพราะทหารจะเน้นความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก
กระทรวงกลาโหมจึงมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ
นอกจากมีบทบาทต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติแล้ว
ทหารยังมีบทบาทโดยตรงต่อรัฐบาลให้กำหนดนโยบายต่างประเทศให้โน้มเอียงไปทางมหาอำนาจ
2.ฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2540 ให้อำนาจการกำหนดนโยบายต่างประเทศแก่ฝ่ายบริหารมาก
พรรคไทยรักไทยมีเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียวในสภาจึงทำให้สภาไม่มีบทบาท
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญและพรรคฝ่ายค้านจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่รัฐสภาในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
โดยเล็งเป้าไปที่ FTA
เพราะไทยทำสัญญาโดยไม่ผ่านรัฐสภา รัฐธรรมนูญ 2550
จึงให้อำนาจแก่รัฐสภาโดยกำหนดไว้ในมาตรา 190
มาตรา 190 ระบุว่า
ให้รัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ
ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขต
ที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีสิทธิตามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ
หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง
หรือมีผลผูกพันทางด้านการค้าการลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ หากหนังสือสัญญาระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทางเศรษฐกิจ
การค้า การลงทุน รัฐสภาจะต้องให้ความเห็นชอบในหนังสือสัญญานั้น
ปัญหาจะย้อนกลับไปที่เดิมว่า
หากรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากหรือมาจากรัฐบาลผสม แต่สามารถคุมเกมในรัฐสภาได้
การออกกฎข้อนี้ก็จะไร้ความหมาย รัฐสภาก็ต้องยกมือให้อย่างเดียวเหมือนเดิม
ฝ่ายค้านก็จะทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นเสียงข้างน้อย
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่ามีการชี้แจงแสดงความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
มาตรา 190 ยังระบุอีกว่า
ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบกรอบเจรจาการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
ก่อนดำเนินการทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(เปิดเวทีสาธารณะ) และต้องชี้แจงหนังสือสัญญานั้นต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ
ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการเพื่อเป็นไปตามมาตรา 190 เช่น
หนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข้อข่าวว่า “ขอเชิญชวนให้ข้อคิดเห็น
กรอบการเจรจาการค้าเสรีของไทยภายใต้การเจรจาระหว่างอาเซียนกับประเทศต่างๆ” แล้วให้รายละเอียดว่ากรอบการเจรจาเหล่านี้มีอะไรบ้าง
โดยให้สอดคล้องกับข้อตกลงของ WTO เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า
พิธีการศุลกากร กฎแหล่งกำเนิดสินค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การค้าบริการ
การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2550
ผลคือผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องกฎการค้าหรือกฎของ WTO ส่วนใหญ่จะพูดเฉพาะปัญหาของตนเท่านั้นโดยไม่สนใจกรอบเจรจาเลย
พรรคพลังประชาชนและฝ่ายรัฐบาลจึงต้องการแก้ไขมาตรา 190
ส่วนที่เปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
เพราะเห็นแล้วว่าประชาชนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นส่วนนี้ได้
เนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องกฎการค้าของคู่ค้าและกฎของ WTO เลย การที่ไปทำการค้ากับต่างประเทศแล้วไม่รู้กฎการค้าของประเทศนั้นๆ
ก็จะส่งผลเสียต่อผู้ส่งออกเอง การเปิดเวทีสาธารณะจึงเสียงบประมาณเปล่าโดยไม่ได้อะไรเลย
นอกจากจะทำให้เป็นไปตามมาตรา 190 เท่านั้น
มาตรา 190 ยังระบุอีกว่า
หลังจากที่ลงนามแล้วต้องให้ประชาชนรับรู้รายละเอียด แต่ก็ไม่ได้เขียนว่าให้ประชาชนรับรู้รายละเอียดก่อนลงนาม
จึงถือเป็นการปิดกั้นเหมือนเดิม
การที่รัฐสภาจะมีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงทำไม่ได้
กระทรวงพาณิชย์มองว่าเป็นความผิดพลาดของมาตรา 190
ที่ให้อำนาจรัฐสภาในการควบคุมฝ่ายบริหาร เพราะผลประโยชน์ของประเทศชาติ
โดยเฉพาะด้านการค้าไม่ควรให้มีการตรวจสอบอย่างลึกซึ้งแบบนี้
ฝ่ายบริหารก็จะไม่มีอำนาจในการเจรจาเด่นชัด
รัฐสภาของสหรัฐฯจะให้อำนาจส่งเสริมการค้าแก่ประธานาธิบดีเต็มที่โดยมีการต่อสัญญา
5 ปี ทำให้การเจรจา FTA
ของสหรัฐฯมีความคล่องตัว เมื่อเจรจาแล้วก็จะนำมาให้รัฐสภาเห็นชอบ ซึ่งรัฐสภาจะมีสิทธิ์แค่ตอบ
Yes หรือ No เท่านั้น
ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์ได้
แต่ส่วนใหญ่ข้อตกลงของประธานาธิบดีจะผ่านความเห็นชอบ ปัจจุบันสัญญานี้ได้หมดไปแล้ว
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯจึงไม่สามารถเจรจา FTA กับใครได้อีก
หากพรรคเดโมเครตได้เป็นประธานาธิบดี การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐฯก็อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
การกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
ทบทวนความรู้จากวิชา PS 703
ก่อนกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ผู้กำหนดนโยบายจะต้องเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นผู้แสดงบทบาทหนึ่งที่อยู่ในระบบระหว่างประเทศหรือระบบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ
ซึ่งเป็นเรื่องของการกระทำซึ่งกันและกันของผู้แสดงบทบาททั้งหลาย
การที่ไทยจะกำหนดนโยบายต่างประเทศก็ต้องรู้การกระทำของผู้แสดงบทบาทอื่น
และรู้ว่าไทยจะต้องตอบสนองการกระทำของผู้แสดงบทบาทอื่นอย่างไร
ซึ่งระบบระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
ทฤษฎีระบบระหว่างประเทศอธิบายว่า
ระบบระหว่างประเทศจะแยกตัวเองจากสภาพแวดล้อม
แต่สภาพแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อระบบระหว่างประเทศ
แม้ระบบระหว่างประเทศนั้นจะไม่สนใจสภาพแวดล้อมก็ตาม เช่น
สภาพแวดล้อมผลักดันให้ประเทศต่างๆต้องทำ
FTA ต้องมีการรวมกลุ่มภูมิภาค หรือต้องมีความร่วมมือเอเชีย
ขณะเดียวกัน ระบบระหว่างประเทศก็จะเป็นตัวสร้าง/กระตุ้นสภาพแวดล้อม
ระบบระหว่างประเทศจะเป็นการกระทำซึ่งกันและกันด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ
สิ่งใดที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ สิ่งนั้นคือสภาพแวดล้อม
เช่น โลกาภิวัตน์ การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เทคโนโลยี
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารคมนาคม
นอกจากนี้
ระบบระหว่างประเทศหรือการกระทำซึ่งกันและกันของผู้แสดงบทบาทจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับระบอบระหว่างประเทศหรือระบอบโลก (International Regimes or World Regimes)
เช่น
กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎบัตรที่เข้ามาควบคุมผู้แสดงบทบาทให้ต้องดำเนินการตามระบบระหว่างประเทศ
เช่น ระบอบการค้าโลก สมาชิกองค์การการค้าโลกจะต้องดำเนินตามข้อตกลงของ GATT
1994 ขณะเดียวกัน
ผู้ที่สร้างระบอบโลกก็คือผู้แสดงบทบาทระหว่างประเทศนั่นเอง
ระเบียบระหว่างประเทศหรือระเบียบโลก (International Order or World Order)
เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระดับโลกของผู้แสดงบทบาทต่างๆ
ซึ่งกำหนดทิศทาง/วิธีการ/หลักเกณฑ์ที่ทำให้ผู้แสดงบทบาทต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ ดังนั้น ผู้แสดงบทบาทระหว่างประเทศจะต้องมีการกระทำภายใต้กฎเกณฑ์ที่ระเบียบระหว่างประเทศหรือระบอบระหว่างประเทศได้วางเอาไว้
ในการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศของไทยจะประกอบด้วย
1.ปัจจัยภายนอก (External Factors) หรือสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ (External Environment/ International Environment) จากการทบทวนข้างต้น
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญจึงประกอบด้วย
1.โลกาภิวัตน์ (Globalization) คือการกระทำซึ่งกันและกัน
และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของผู้แสดงบทบาทในทุกด้าน ทั้งการค้า การลงทุน
การเงิน การก่อการร้าย หรือการต่อต้านการก่อการร้าย
ส่งเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกและมีผลกระทบต่อผู้กำหนดนโยบายของไทยเรา
ไทยเราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่ทำ FTA ไม่ต้องไปสนใจประเทศอื่น ไม่ต้องทำการค้าเสรี หรือไม่ต้องรวมกลุ่มภูมิภาค
เพราะไทยไม่ได้ทำการค้าเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นแต่ต้องทำการค้ากับทั่วโลก
ผลจากโลกาภิวัตน์คือทำให้ไทยต้องกำหนดนโยบายต่างประเทศตามประเทศอื่นไปด้วย
เมื่อประเทศอื่นทำการเจรจา FTA เพื่อลดการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ไทยเราก็ต้องเจรจาไปด้วย
ไม่อย่างนั้นไทยเราก็จะเสียเปรียบ เช่น ประเทศเพื่อนบ้านทำ FTA กับสหรัฐฯ จึงได้รับยกเว้นภาษีตามข้อตกลง แต่สินค้าไทยกลับโดนภาษีเต็มรูปแบบ
สินค้าไทยจึงขายสินค้าไม่ได้
2.การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Interdependence) คือการที่แต่ละประเทศไปอาศัยประเทศอื่นเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ตนเองไม่มี
เช่น ไทยอาศัยสหรัฐฯและสหรัฐฯอาศัยไทยในการส่งสินค้าไปขาย
แต่การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันก็มี 2 แบบคือ การพึ่งพาอาศัยที่เท่าเทียมกัน เช่น
จีนและสหรัฐฯ ต่างฝ่ายต่างก็พึ่งพาด้านการค้าและการลงทุนพอๆ กัน ขณะที่ไทยพึ่งตลาดการค้าของสหรัฐฯถึง
15.4% ของ GDP
ส่วนสหรัฐฯพึ่งพาไทยแค่ไม่เกิน 7% ของ GDP ไทยเราเป็นคู่ค้าอันดับที่ 19 และสหรัฐฯเสียดุลการค้าให้ไทยตลอด
สหรัฐฯจึงไม่ค่อยสนใจไทย
ผู้กำหนดนโยบายจะต้องคำนึงการที่ไทยไปพึ่งพาอาศัยประเทศอื่น
และประเทศอื่นมาพึ่งพาอาศัยไทยด้วย
นายกฯทักษิณพยายามทำให้ไทยหลุดพ้นจากอำนาจของสหรัฐฯ
เพราะไม่พอใจที่สหรัฐฯให้ความช่วยเหลือไทยอย่างเต็มที่ช่วงที่ไทยเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินในปีค.ศ.1997
แต่เนื่องจากไทยต้องพึ่งตลาดการค้าสหรัฐฯ
นายกฯทักษิณก็ต้องยอมทำตามสหรัฐฯทุกอย่างตามที่สหรัฐฯต้องการ
และสหรัฐฯก็ตอบแทนไทยด้วยการให้เป็นพันธมิตรนอกนาโต้
ไทยจึงได้ประโยชน์จากการซื้ออาวุธที่ทันสมัย ใช้อาวุธในคลังสำรองในไทย
และส่งทหารไปฝึกอบรมในสหรัฐฯ
3.การเมืองระหว่างประเทศ (International Politics) คือการใช้อำนาจระหว่างรัฐต่อรัฐ
ความขัดแย้งระหว่างรัฐต่อรัฐในเรื่องอำนาจ
ผู้กำหนดนโยบายจึงต้องดูว่าการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ช่วงสงครามเย็น (ค.ศ.1945-ปลายทศวรรษ 1980)
โลกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ นโยบายต่างประเทศของไทยจะเอนไปทางขั้วสหรัฐฯ
สหรัฐฯก็มองว่าไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์
แต่พอสงครามเย็นสิ้นสุดลง ไทยก็หมดความหมายสำหรับสหรัฐฯ
ไทยเราจึงต้องวิ่งเข้าหาจีนเพื่อให้มาช่วยพิทักษ์ความมั่นคงให้
หลังสงครามเย็น ขั้วอำนาจที่มี 2
ขั้วในสงครามเย็นได้กลายมาเป็นหลายขั้วอำนาจ เช่น จีน รัสเซีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น
เยอรมนี
ไทยเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับหลายขั้วอำนาจนั้นโดยประกาศนโยบายรักษาระยะห่างให้เท่าเทียมกันในแต่ละมหาอำนาจ
โดยใช้มหาอำนาจต่างๆ มาถ่วงดุลสหรัฐอเมริกา เพื่อไม่ให้สหรัฐฯมากดดันหรือครอบงำไทยมากเกินไป
ไทยใช้นโยบายนี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย มาจนถึงสมัยรัฐบาลทักษิณ
ไทยดำเนินนโยบายลู่ตามลมคือ
รู้ทิศทางของการเมืองระหว่างประเทศ การใช้อำนาจของประเทศต่างๆ
หรือความขัดแย้งของอำนาจ แล้วไทยก็ลู่ไปตามนั้นเพื่อให้ประเทศอยู่รอดได้ เช่น
หลังสงครามเย็น จีนมีอำนาจมากขึ้นจึงเข้ามาแสดงบทบาทในเอเชีย
แต่สหรัฐฯไม่อยากให้จีนมีบทบาทในเอเชีย
ไทยจึงเอนไปทางจีนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสหรัฐฯ
เพื่อให้สหรัฐฯมาช่วยเหลือไทยและไม่สามารถทิ้งไทยไปได้
เช่นเดียวกับที่ไทยไม่สามารถทิ้งสหรัฐฯได้
4.ระบบระหว่างประเทศ
(International System) ระบบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศหลังยุคสงครามเย็นเป็นดังนี้
(1) ระบบศูนย์เดียวแบบหลายขั้วอำนาจ (Uni-Multipolarity)
คือสหรัฐฯเป็นเอกอภิมหาอำนาจทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร
ขณะเดียวกันก็มีขั้วอำนาจอื่นเข้ามา เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
เยอรมนี ที่จะคอยถ่วงดุลกับสหรัฐฯในบางเรื่อง แต่สหรัฐฯก็มีอำนาจเหลือล้น เช่น
กรณีอิรัก สหรัฐฯสามารถมีอำนาจเหนือขั้วอำนาจอื่นที่มาถ่วงดุล ในที่สุด
สหรัฐฯก็เข้าไปทำสงครามกับอิรัก
(2) ระบบหลายขั้วอำนาจ (Multipolarity) คือไม่ได้มองว่าสหรัฐฯเป็นเอกอภิมหาอำนาจ
แต่มองว่าเป็นเพียงขั้วอำนาจหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่มีขั้วอำนาจอื่นตามมา
แต่ละประเทศจะถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันในบางเรื่อง เช่น
หลายเรื่องที่สหรัฐฯทำผิดกฎของ WTO สหภาพยุโรปจึงร่วมมือกับประเทศอื่นต่อต้านสหรัฐฯ
5.ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economic System)
ผู้กำหนดนโยบายต้องรู้ว่าใครมีอำนาจในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
อาจารย์เคยอธิบายในวิชา PS 703 แล้วว่าสหรัฐฯมีอำนาจเหลือล้นจนเข้ามาคุม G7
(สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา อิตาลี) ส่วน G7 จะคุมนโยบายใน WTO, IMF, World Bank
โดยเฉพาะการลงคะแนนเสียงใน IMF, World Bank ส่วน WTO จะมีกลุ่มสี่สหายมีอำนาจในการลงคะแนนเสียง เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป แคนาดา
และญี่ปุ่น ก่อนมีการประชุมของ WTO, IMF, World Bank ก็จะมีการประชุมของ
G7 ก่อน ขณะเดียวกัน G7 ก็จะมีบทบาทต่อกลุ่ม
OECD เช่นกัน (OECD
หรือองค์การความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ปัจจุบันมีสมาชิก 30 กว่าประเทศ
ไทย จีน และรัสเซียสมาชิกขององค์การนี้
เพราะผู้ที่อยู่ในองค์การนี้จะรู้นโยบายเศรษฐกิจของโลก)
ก่อนกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ
ไทยเราต้องรู้ว่าใครคุมเกมในระบบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ
ใครกำหนดนโยบายของระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งมีทั้งเรื่องการค้า การเงิน
และการลงทุนเป็นหลัก เพื่อจะได้รู้ว่าควรดำเนินนโยบายในแนวทางใด
เกมเดินไปทางไหนแล้ว
6.ระเบียบระหว่างประเทศ (International Order) เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ของผู้แสดงบทบาททั้งหลายในเวทีระหว่างประเทศ
เกี่ยวกับวิธีการหรือทิศทางว่ารัฐเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
7.ระเบียบโลก (World Order) คือแบบแผนที่กำหนดหลักเกณฑ์ด้านต่างๆ ทั้งการค้า
การลงทุน การทูต การทหาร
และทุกด้านที่ชี้แนะว่าแนวทาง/วิธีการ/หลักเกณฑ์ที่เข้ามาชี้นำว่าผู้แสดงบทบาทระดับโลกควรแสดงความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร
มีความสัมพันธ์ในทิศทางใด ระเบียบโลกหลังยุคสงครามเย็นจะถูกกำหนดโดยมหาอำนาจ เช่น
สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ซึ่งมีผลต่อทิศทางการกำหนดนโยบายของไทย
ระเบียบโลกที่สำคัญมีหลายข้อ เช่น
(1) การเปิดเสรี
(Liberalization)
(2) การรวมกลุ่มภูมิภาค (Regionalization) เราจึงทำ ASEAN +3
และทำประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเพื่อให้เกิดประชาคมอาเซียนในอนาคต
เพื่อเอาไปสู้กับการรวมกลุ่มภูมิภาคของภูมิภาคอื่น เช่น เขตการค้าเสรีอเมริกา NAFTA
หรือ EU
(3) การสร้างสถาบันระหว่างประเทศ (Institutionalization)
ไทยต้องเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศต่างๆ เช่น WTO, IMF, World
Bank
(4) การทำให้เป็นประชาธิปไตย (Democratization)
เห็นได้ชัดจากที่ไทยต้องเข้าร่วมกับสหรัฐฯในการต่อต้านคอมมิวนิสต์
และหลังรัฐประหาร ไทยก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีตามระเบียบโลกที่กำหนดเอาไว้
(5) ความมั่นคง (Security) มี 3 ด้านคือ
-ความมั่นคงด้านการเมือง เช่น
การร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
-ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ความมั่งคั่ง
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การอยู่ดีกินดีของประชาชน
-ความมั่นคงทางทหาร
(6) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization)
เห็นได้ชัดจากที่ไทยถูกกดดันจากสหรัฐฯโดยผ่านเงื่อนไขการกู้ยืมเงินของ IMF ให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ไทยได้แปรรูปรัฐวิสาหกิจไปบ้างแล้ว เช่น
การสื่อสารคมนาคมแห่งชาติ การปิโตรเลียมแห่งชาติ
แต่หลังจากที่นายกฯทักษิณขายกิจการที่เกี่ยวกับโทรคมนาของตัวเองก็เกิดผลกระทบ
ประชาชน NGO และพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจจึงออกมาต่อต้าน
จีนและเวียดนามก็ถูกบังคับให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจก่อนเข้าเป็นสมาชิกของ WTO ในอนาคตไทยอาจจะโดนกดดันมากกว่านี้ เพราะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป
และอีกหลายประเทศต้องการมาลงทุนในไทยแต่ก็ต้องเจออุปสรรคของกฎเกณฑ์
เงื่อนไขตามกฎหมายที่สกัดกั้นการลงทุนของต่างชาติ และปัญหาคอรัปชั่น (7) สภาพแวดล้อม
(Environment) เป็นเงื่อนไขในการเจรจา FTA ในการรักษาสภาพแวดล้อมและรักษาป่าไม้
สหภาพยุโรปกำหนดว่าหากตรวจสอบพบว่าผู้ส่งออกมีการทำลายสภาพแวดล้อมก็จะไม่ซื้อสินค้าจนกว่าจะแก้ไข
(8) สิทธิมนุษยชน
(Human Rights)
(9) สิทธิแรงงาน
(Labor Rights)
(10) การลดระเบียบกฎเกณฑ์ (Deregulation) ไทยถูกกดดันให้ลดกฎระเบียบ เช่น
สหภาพยุโรปร้องเรียนว่าไทยมีระบบภาษีที่ไม่แน่นอนและเก็บภาษีเหล้าไม่เป็นธรรม
(11) การจัดการและการบริหารที่ดรหรือธรรมาภิบาล (Good Governance) ในสมัยรัฐบาลชวน 2
ไทยถูกกดดันให้มีธรรมาภิบาลด้านการเงิน คือต้องมีการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส
มีคุณธรรม
(12) ความโปร่งใส
(Transparency)
รัฐบาลไทยไม่ค่อยสนใจศึกษาระเบียบโลก
แต่ประเทศที่มามีความสัมพันธ์กับไทยกลับใช้ระเบียบโลกนั้นมากดดันไทย
ท้ายที่สุดไทยก็ต้องทำตาม นักศึกษาควรจำให้ได้ว่า ระเบียบโลกที่สำคัญมีอะไรบ้าง
8.ระบอบระหว่างประเทศ (International Regime) หรือระบอบโลก มีบทบาทเช่นเดียวกัน เช่น
ประเทศที่กู้ยืมเงินจาก IMF จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ
IMF เช่น ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
การกำหนดนโยบายของไทยจึงไม่สามารถดื้อแพ่งได้ตราบใดที่ไทยเรายังเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศเหล่านี้อยู่
9.บทบาทขององค์การระหว่างประเทศ
(International Organization) และสถาบันระหว่างประเทศ (Institution) เช่น การเป็นสมาชิกของ UN เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงประกาศแซงชั่นประเทศใด
ไทยเราก็ต้องปฏิบัติตาม แม้ไม่อยากทำก็ตาม หรือไทยต้องส่งทหารไปร่วมรักษาสันติภาพ
การที่ไทยเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศใด
นโยบายต่างประเทศของไทยก็ต้องสอดคล้องตามนั้น เช่น กฎของอาเซียนคือไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิกอื่น
ไทยเราจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งกับพม่าและปล่อยให้นางอองซาน
ซูจีต้องถูกกักบริเวณอยู่อย่างนั้น
10.บทบาทขององค์การระดับสากล (Universal Organization) เช่น UN, WTO,
IMF, World Bank องค์การเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทต่อการกำหนดนโยบายของไทย
เช่น ก่อนทศวรรษ 1980s ไทยต้องทำตามนโยบายตามธนาคารโลกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ
โดยการดำเนินนโยบาย Export Led Growth คือการเจริญเติบโตนำโดยการส่งออก
เดิม Export Led
Growth เป็นยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น คือเน้นการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มีผลทำให้ญี่ปุ่นรุ่งโรจน์มากจนกลายเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ
ประเทศที่ทำตามคือเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง
ประเทศเหล่านี้จึงกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs)
หรือสี่เสือ (Four Tigers) ประเทศไทยไม่ทำตาม World
Bank แต่ไปเน้นสินค้าส่งออกอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมผสมผสานกัน
เพราะไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม World Bank
ก็ปล่อยให้ไทยเราทำไปจนกระทั่งทศวรรษ 1980s GDP ของไทยเติบโตถึง 10%
ปลายทศวรรษ 1990s World Bank จึงประกาศว่าไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5
ในเอเชีย แต่ไทยก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินเสียก่อนในปีค.ศ.1997 เพราะเปิดเสรีทางการค้า
การเงิน และการลงทุนโดยไม่ได้เตรียมความพร้อม
ในที่สุดเศรษฐกิจไทยก็พังพินาศเพราะเงินทุนไหลทะลักเข้ามาและปล่อยกู้โดยไม่มีความโปร่งใส
บริษัทที่กู้ยืมเงินไปสร้างอสังหาริมทรัพย์จึงขาดทุนเพราะขายไม่ได้
เมื่อบริษัทไม่มีเงินใช้หนี้ ธนาคารก็ไม่มีเงินไปคืนต่างประเทศ ในที่สุด
ไทยเราก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน ไทยจึงกลายเป็นลูกเสือที่เลี้ยงไม่โต
สมัยรัฐบาลทักษิณ ลูกเสือก็โตเป็นเสือเต็มที่แต่ก็เกิดรัฐประหาร
ไทยจึงลงมาเป็นลูกเสือเหมือนเดิม นิตยสารไทมส์จึงประกาศว่า No more Tiger
in Asia
ปัจจุบันไทยยังใช้ Export
Led Growth อยู่ ส่งผลทำให้รายได้จากการส่งออกของไทยเป็น 70% ของ GDP
11.ปฏิกิริยาของประเทศเพื่อนบ้าน
นายกรัฐมนตรีที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่มักจะไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร
พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ เพราะปฏิกิริยาของประเทศเพื่อนบ้านมีความสำคัญมาก
การที่ไทยไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของพม่าเพราะเห็นว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงย่อมดีกว่าคนภายนอก
ขณะเดียวกัน ไทยเราก็ต้องดูปฏิกิริยาของประเทศอื่นด้วย
โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของไทย
2.ปัจจัยภายใน (Internal Factors) หรือสภาพแวดล้อมภายใน (Internal Environment)
1.เศรษฐกิจภายในประเทศ เป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
เศรษฐกิจของไทยจะพึ่งพาการส่งออก ปีค.ศ.2007 การส่งออกไทยเป็น 70% ของ GDP สินค้าที่ส่งออกส่วนมากเป็นทั้งสินค้าและการบริการ
หลังวิกฤติการณ์ทางการเงินในปีค.ศ.1997 ไทยเราก็ฟื้นตัวขึ้นมาในรัฐบาลทักษิณ GDP
ของไทยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากปีค.ศ.2001 GDP ของไทยเป็น
2.2% ค.ศ.2003-2004 เพิ่มเป็น 7.1% และคาดว่าปีค.ศ.2005-2007
จะขยายตัวไปถึง 7-10%
แต่ก็เกิดรัฐประหารเสียก่อน ค่า GDP ของไทยจึงเป็น 4.5% และไม่รู้ว่าจะขึ้นเป็น 5% เมื่อไหร่
ประเทศที่ไทยส่งออกเป็นหลักคือสหรัฐฯ 15.4% ของ GDP ญี่ปุ่น
13.6% จีน 8.3% สิงคโปร์ 6.9% ฮ่องกง 5.6% มาเลเซีย 5.2%
ปัจจุบันไทยเน้นการส่งออกไปตะวันออกกลางและอินเดีย
ส่วนตลาดใหม่อย่างอัฟริกาและลาตินอเมริกา ไทยยังส่งสินค้าไปขายน้อย
เศรษฐกิจไทยที่เน้นการส่งออกจึงต้องเกี่ยวกับประเทศเหล่านี้
การลงทุนในไทยมีแค่ 26% ไทยเราจึงต้องเพิ่มการลงทุนและการบริโภคภายในให้มากขึ้น
เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจไทยก็จะแย่
เพราะหากประเทศคู่ค้าเกิดวิกฤติก็จะส่งผลกระทบต่อไทย เช่น
สหรัฐฯเจอวิกฤติสินเชื่อจึงซื้อสินค้าไทยได้น้อยลง
รัฐบาลปัจจุบันจึงให้คนมีเงินบริโภคมากขึ้น
แต่คนที่ซื้อสินค้ามากที่สุดก็คือชนชั้นกลาง
ไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีหรือการตลาดคือให้กลไกการตลาดเป็นตัวกำหนด
(อุปสงค์และอุปทาน) กิจการสำคัญจะเป็นของรัฐ เช่น ไฟฟ้า การขนส่ง การคมนาคม
แต่ก็ถูกภายนอกกดดันให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกิจการบางอย่างได้แปรรูปไปแล้ว เช่น
ท่าอากาศยาน การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
และให้หน่วยราชการสามารถตั้งสหภาพได้
แรงงานไทยประมาณ 40% เป็นแรงงานภาคเกษตรกรรม โดยมีข้าวเป็นปัจจัยสำคัญ
(ปัจจุบันรัฐห้ามส่งข้าวออกเพราะกลัวคนไทยไม่มีข้าวกิน)
สินค้าสำคัญของไทยก็ยังเป็นสินค้าเกษตร เช่น น้ำตาล ยางพารา ข้าวโพด มันสำปะหลัง
และสินค้าประมง ส่วนสินค้าแปรรูป เช่น ทูน่ากระป๋อง สัปปะรดกระป๋อง กุ้งแช่แข็ง
รัฐบาลจะต้องรู้ว่าจะต้องดำเนินกิจการอย่างไรที่จะให้กิจการเหล่านี้อยู่รอด
ด้านอุตสาหกรรมของไทยก็เติบโตมากขึ้น เช่น รถยนต์
ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนของญี่ปุ่น ไทยจึงมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
นโยบายต่างประเทศของไทยจะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่เป็นตลาดการค้า
เพราะหากไทยเรามีความขัดแย้งกับประเทศเหล่านี้ เศรษฐกิจของไทยก็จะพังพินาศ
2.การเมืองภายในประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศ
ช่วงที่เกิดรัฐประหาร (19 ก.ย. 2006-ก่อนแต่งตั้งรัฐบาลใหม่) ได้เกิดผลกระทบต่อไทยมาก
โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยและไม่เจรจา FTA ด้วยจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง ส่วนสหรัฐฯก็บีบไทยด้วยการตัดความช่วยเหลือด้านการทหารจำนวน
29 ล้านเหรียญ จีนจึงถือโอกาสนี้ให้ความช่วยเหลือไทยถึง 40 ล้านเหรียญ
ทหารจึงไม่สนใจสหรัฐฯ
ช่วงนี้ไทยไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯอย่างเต็มที่จึงต้องวิ่งเข้าหาจีน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งก็ไม่สามารถกำหนดนโยบายอย่างเป็นทางการได้
เพราะประเทศอื่นไม่ยอมรับ
ช่วงรัฐบาลทหาร การเมืองภายในจะถูกปกครองโดยทหาร
ไทยเราจึงมีนโยบายต่างประเทศเอนเอียงไปกับประเทศที่มีนโยบายทางการทหารเหมือนกัน
เช่น สหรัฐฯที่เน้นความมั่นคงในยุคสงครามเย็น แต่หลังสงครามเย็น
โดยเฉพาะสมัยรัฐบาลชวน ไทยเราต้องการเป็นประชาธิปไตยจึงพยายามมีอิสระจากสหรัฐฯ
ในปีค.ศ.1994 สหรัฐฯเรียกร้องจะมาจอดเรือเสบียงของกองทัพเรือที่อ่าวไทย
เนื่องจากรัฐบาลไทยมาจากการเลือกตั้งจึงปฏิเสธโดยอ้างว่าจีนจะไม่พอใจ
3.พรรคการเมือง มีบทบาทต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ เช่น ช่วงที่พรรคไทยรักไทยมีอำนาจเป็นพรรคเด่นพรรคเดียว
การกำหนดนโยบายจึงเป็นแบบอำนาจนิยม สามารถดำเนินการทำ FTA
และสร้างความสัมพันธ์กับประเทศที่ตนเองต้องการได้
ส่วนช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาปกครองประเทศก็จะเน้นเสรี สิทธิมนุษยชน
และประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่รัฐบาลไทยเป็นพรรคผสมจึงไม่เด่นชัดเหมือนระบบพรรคการเมืองสองพรรคของสหรัฐฯ
ที่พรรครีพับลิกันเน้นการค้าเสรี ส่วนพรรคเดโมแครตไม่ต้องการทำ FTA
4.กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มผลักดันต่างๆ สำคัญมากต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ไทยเรามีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ไม่เหมือนประเทศอื่นคือ ระบบเศรษฐกิจไทยที่ขึ้นอยู่กับกลุ่มนักธุรกิจซึ่งมีทั้งหมด
30 ตระกูล ทั้งหมดมาจากคนเชื้อสายจีนผสมไทย อดีตเป็นคนจีนอพยพแบบเสื่อผืนหมอนใบ
ทำงานทุกอย่างจนสามารถสร้างฐานะและกลายเป็นนายทุนใหญ่โตในปัจจุบัน เช่น
อดีตครอบครัวคุณทักษิณขายกาแฟ ต่างชาติจึงให้ฉายาทุนนิยมไทยว่าทุนนิยมแบบเสื่อผืนหมอนใบ Pillow and Mat Capitalism)
เพราะเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับกลุ่มนักธุรกิจที่ปู่ย่าตายายเป็นพวกเสื่อผืนหมอนใบ
ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถทำได้อีกแล้ว
ตระกูลนักธุรกิจที่คุมเศรษฐกิจไทย ได้แก่
มาลีนนท์-บีอีซีเวิล์ด ชินวัตร-ชินคอร์ป
ดามาพงศ์-ชินคอร์ป
จิราธิวัฒน์-เซ็นทรัล เบญจรงคกุล-ยูคอม
ดำรงชัยธรรม-แกรมมี่
อัศวโภคิน-แลนด์ & เฮาส์ จันศิริ-ไทยยูเนี่ยน เลี่ยวไพรัตน์-ทีพีไอ
โพธารามิก-จัสมิน กรรณสูต-อิตัลไทย
จรณะจิตต์-อิตัลไทย
วิทยาฐานกรณ์-ไทยเวเจทะเบิล เผอิญโชค-ไทยรุ่ง โสภณพนิช-กรุงเทพ
วิญญรัตน์-ซอส นิรุตตินานนท์-ไทยยูเนี่ยน ดำเนินชาญวนิชย์-ซุ่นหัวเส็ง
วัธนเวคิน-วัธนเวคิน ยังมีวิทยา-ซีเฟรซ
รัตนรักษ์-กรุงศรีอยุธยา
ปิยะอุย-ดุสินธานี เอื้อชูเกียรติ-เอเชีย
ล่ำซำ-กสิกรไทย
ศรีเฟื่องฟุ้ง-ศรีเฟื่องฟุ้ง หอรุ่งเรือง-NIS เหล็ก โชควัฒนา-สหพัฒน์
กาญจนพากน์-บางกอกแลนด์ เตชะไพบูลย์-ศรีนคร หวั่งหลี-หวั่งหลี
บางตระกูลจะไปลงทุนต่างประเทศ
และหากกลุ่มพวกนี้พังเมื่อไหร่ เศรษฐกิจไทยก็จะพินาศ เพราะกลุ่มพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับการค้า
การลงทุน การธนาคาร การเงิน จึงมีอิทธิพลในการล็อบบี้และโน้มน้าวใจรัฐบาล
รัฐบาลก็จะปรึกษากลุ่มพวกนี้ในการดำเนินนโยบาย เช่น
เจริญโภคภัณฑ์แนะนำให้รัฐบาลเปิดการค้าเสรีและขึ้นราคาสินค้าเกษตร
ก่อนรัฐบาลทักษิณ กลุ่มนักธุรกิจเหล่านี้ก็ดึงให้ไทยไปมีสัมพันธ์กับจีน
โดยเฉพาะนายกฯทักษิณที่แม่มีเชื้อสายจีน รัฐมนตรีต่างประเทศจึงบอกว่าไทยกับจีนเป็นพี่น้องกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนจึงเจริญก้าวหน้า
สหรัฐฯเองก็บอกว่าไทยเอนไปหาจีนก็เพราะคนไทยเชื้อสายจีนที่คอยชักนำรัฐบาล
รัฐบาลทักษิณได้หันไปซื้ออาวุธจากจีนอีกครั้งแม้จะไม่มีคุณภาพเท่าอาวุธของสหรัฐฯก็ตาม
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน
5.มติมหาชน คือประชาชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ เช่น
ช่วงแรกรัฐบาลทักษิณไม่ยอมร่วมกับอิรักในการส่งทหารไปฟื้นฟูอิรัก
โดยอ้างว่าคะแนนเสียงของคนไทยมุสลิมมีถึง 8 ล้านคนจึงต้องระมัดระวังมาก
และไทยมีปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่แล้วจึงไม่อยากเข้าไปพัวพันกับการต่อต้านการก่อการร้าย
6.กองทัพ
จากการที่กองทัพเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดนโยบายในสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และมีบทบาทสำคัญในช่วงรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร
นโยบายไทยจึงเน้นความมั่นคงเป็นหลัก
7.ตัวบุคคล เช่น สภาพัฒน์เชิญประธานของเจริญโภคภัณฑ์มาพูดถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทย
ท่านก็แนะนำการดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศของไทยหลายอย่าง
รัฐบาลก็ได้นำไปใช้กำหนดนโยบาย
บุคคลเหล่านี้ไม่มีส่วนในการตัดสินใจแต่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐ
3.กระบวนการกำหนดนโยบายของไทย
(Thai Policy Making Process)
ประกอบด้วย
(1) ผู้กำหนดนโยบายของไทย
(2) ตัวแบบของการกำหนดนโยบายของไทย เช่น
การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มเติม (Incremental
Change) หรือการค่อยเป็นค่อยไป (Incrementalism)
Quiz
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมีประการใดบ้าง
ให้ระบุเป็นข้อๆ ให้เห็นอย่างชัดเจน
พร้อมทั้งยกตัวอย่างของนโยบายต่างประเทศไทยที่มีผลมาจากอิทธิพลของปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอกเหล่านั้น
****************
คำบรรยายวิชา
PS 709 นโยบายต่างประเทศไทย
Thai Foreign Policy
ผศ.ดร.เบ็ญจมาส จีนาพันธุ์ วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551
สัปดาห์ก่อนสงกรานต์อาจารย์กล่าวถึงนโยบายต่างประเทศไทยที่มีต่อมหาอำนาจ
นักศึกษาจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ในช่วงเวลานั้น
ทำไมประเทศไทยจึงต้องดำเนินนโยบายเช่นนั้น มีปัจจัยอะไรเป็นตัวกระตุ้น
เนื่องจากผลประโยชน์แห่งชาติเป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย
นักศึกษาก็ต้องตอบให้ได้ว่าปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกในช่วงนั้นมีอะไรบ้าง
ผลประโยชน์แห่งชาติมีอะไรบ้าง
โดยเฉพาะความมั่นคงที่เป็นหัวใจสำคัญของผลประโยชน์แห่งชาติของไทย
**เข้าสู่เนื้อหาการบรรยาย**
ประเทศไทยมีที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออก
สภาพที่ตั้งมีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศที่มีต่อมหาอำนาจอย่างมาก
เพราะปัจจัยด้านประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่เป็นปฏิกิริยาและความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านล้วนมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายทั้งสิ้น
เช่น การมีอาณาเขตติดกับพม่าและการยึดถือกฎของอาเซียนได้ทำให้ไทยบาดหมางกับสหรัฐฯ
หรือการที่ไทยจะติดต่อสัมพันธ์กับจีนก็ต้องติดต่อกับพม่า เวียดนาม
และลาวซึ่งมีอาณาเขตติดกับจีนด้วย และเนื่องจากไทยเป็นสมาชิกของอาเซียน
การกำหนดนโยบายต่างประเทศต่อมหาอำนาจก็ต้องคำนึงถึงอาเซียนด้วย
การศึกษานโยบายต่างประเทศของไทยจะเริ่มศึกษาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นคือทศวรรษที่
1950s, 1960s, 1970s, 1980s, 1990s และปีค.ศ.2001-ปัจจุบัน ช่วงนี้นโยบายต่างประเทศของไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
(ทศวรรษคือรอบ 10 ปี เช่น ทศวรรษ 1970s หมายถึงค.ศ.1971-1979
ต้นทศวรรษคือ ค.ศ.1971-1973 กลางทศวรรษคือ ค.ศ.1974-1975 ปลายทศวรรษคือ
ค.ศ.1978-1979 ช่วงค.ศ.1976-1977 จะอยู่ระหว่างกลางทศวรรษและปลายทศวรรษ)
ช่วงที่เกิดสงครามเย็น (Cold War) อย่างรุนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ค่ายประชาธิปไตย
และสหภาพโซเวียตซึ่งอยู่ค่ายคอมมิวนิสต์
นโยบายต่างประเทศของไทยจะเอนไปทางสหรัฐอเมริกา
แต่หลังจากที่สหรัฐฯถอนตัวออกจากสงครามเวียดนามในปีค.ศ.1973
นโยบายต่างประเทศของไทยจึงเปลี่ยนไป
เมื่อจีนเข้ามาพัวพันกับการรุกรานของเวียดนามที่มีต่อกัมพูชา
นโยบายต่างประเทศของไทยก็เอนมาทางจีน ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย
นโยบายต่างประเทศของไทยก็เปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าปัจจัยภายนอกมีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมาก
สำหรับปัจจัยภายใน เช่น การเมือง ไทยถูกปกครองโดยทหารตั้งแต่สงครามเย็นจนมาสิ้นสุดในปีค.ศ.1991
นโยบายของไทยจะเน้นความมั่นคงด้านการทหารเป็นหลัก
หลังจากที่มีการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
นโยบายต่างประเทศของไทยก็พยายามปลีกตัวเป็นอิสระจากมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ
แต่ไทยก็ไม่ได้ทิ้งความสัมพันธ์ที่มีต่อสหรัฐฯและจีน
นโยบายต่างประเทศของไทยที่มีต่อมหาอำนาจ
-ทศวรรษ 1950s – 1960s เป็นยุคสงครามเย็น
เกิดจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของสองขั้วอำนาจคือ
สหรัฐฯเน้นอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ส่วนฝ่ายตะวันออกซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำได้เน้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และต้องการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก
โดยเฉพาะในเอเชีย
นโยบายต่างประเทศไทยในช่วงนี้จะมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯอย่างเหนียวแน่นด้านความมั่นคงเป็นหลัก
ค.ศ.1945 สงครามเย็นกำลังรุนแรง
สหรัฐฯและสหภาพโซเวียตต่างก็พยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะเอาชนะซึ่งกันและกันเพื่อแผ่ขยายอุดมการณ์ของตนเอง
สหรัฐฯได้ดำเนินนโยบายสกัดกั้นหรือปิดล้อม (Containment
Policy)
สหรัฐฯจะใช้ทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้คอมมิวนิสต์มาขยายอิทธิพลในเขตอิทธิพล
(ลาตินอเมริกา) และเขตผลประโยชน์ของตนเอง (เอเชีย แอฟริกา)
ปีค.ศ.1949 จีนคอมมิวนิสต์ขึ้นมามีอำนาจในจีนแผ่นดินใหญ่
จีนขาวจึงต้องอพยพไปอยู่ไต้หวัน
ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศไทยที่มีต่อจีน
เพราะกลัวภัยคุกคามคอมมิวนิสต์จีน
ไทยจึงร่วมมือกับสหรัฐฯเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ช่วงนี้
สหรัฐฯเองก็เกรงกลัวภัยคอมมิวนิสต์จากทั้งสหภาพโซเวียตและจีน
ปีค.ศ.1950-1953 เกิดสงครามเกาหลี
เกาหลีเหนือได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 รุกรานเกาหลีใต้
สหรัฐฯจึงนำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(สมาชิกถาวรที่มีสิทธิวีโต้มี 5 ประเทศคือ สหรัฐฯ สหภาพโซเวียต จีนไต้หวัน อังกฤษ
และฝรั่งเศส) เนื่องจากสหภาพโซเวียตเสนอให้เปลี่ยนคณะมนตรีฯจากจีนไต้หวันมาเป็นจีนแผ่นดินใหญ่
แต่สหรัฐฯไม่เห็นด้วย สหภาพโซเวียตไม่พอใจจึง
Walk Out ออกไป
สหรัฐฯจึงถือโอกาสเสนอเรื่องที่จะใช้มาตรการรุนแรงจัดการกับเกาหลีเหนือ
คณะมนตรีฯจึงลงมติเห็นชอบ สหรัฐฯจึงใช้กองกำลังของสหประชาชาติเข้าไปจัดการกับเกาหลีเหนือเพื่อให้ออกไปจากเกาหลีใต้
ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐฯถึง
65,000 นาย สร้างความประทับใจแก่สหรัฐฯเป็นอย่างมาก ไทยสูญเสียทหารไปประมาณ 1,250
นาย หลังจากนั้น สหรัฐฯก็ดึงไทยเข้าไปต่อสู้กับคอมมิวนิสต์
สงครามเกาหลีสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1953
เพราะสตาร์ลินผู้นำสหภาพโซเวียตที่หนุนหลังเกาหลีเหนือเสียชีวิต
เกาหลีเหนือจึงถอนทหารออกไป
ปีค.ศ.1954
สหรัฐฯมีประธานาธิบดีชื่อไอเซ็นฮาวร์และได้เกิดทฤษฎีโดมิโนขึ้น (Domino Theory)
โดยอธิบายว่าหากเวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศใกล้เคียงอย่างลาว กัมพูชา ไทย มาเลเซีย
สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จนกระทั่วไปถึงรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯก็จะค่อยๆ
ล้มเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนการเล่นเกมโดมิโน
ชนชั้นนำของสหรัฐฯและไทยต่างก็เชื่อในทฤษฎีนี้ว่า หลังจากที่เขมร ลาว
และเวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ต่อไปก็จะเป็นไทย ซึ่งไทยเป็นจุดหลักที่จะทำให้ประเทศอื่นล้มตามกันไปด้วย
สหรัฐฯและไทยจึงพยายามสกัดกั้นไม่ให้คอมมิวนิสต์ขยายตัว
โดยลงนามสนธิสัญญามะนิลาในปีค.ศ.1954 (Manila Pact)
(เป็นสนธิสัญญาที่ก่อตั้งสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) โดยมีออสเตรเลีย
ปากีสถาน ไทย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯเข้าร่วม
สาระของสนธิสัญญาคือมีการป้องกันร่วมกัน หากประเทศสมาชิกใดถูกรุกราน
ประเทศสมาชิกอื่นก็จะร่วมกันป้องกันและจัดการกับผู้รุกรานนั้น
ไทยและสหรัฐฯจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการในฐานะสัมพันธมิตร (Alliance: การรวมอำนาจของรัฐตั้งแต่ 2
รัฐขึ้นไป เพื่อผลประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่ง) และเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ไทย
สหรัฐฯจึงให้คำมั่นสัญญาโดยมีเอกสารรับรองว่าจะปกป้องภัยคอมมิวนิสต์ให้ไทย
ปีค.ศ.1962 ไทยและสหรัฐฯจึงได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ถนัด-รัชต์ ระบุว่า
สหรัฐฯจะช่วยเหลือไทยโดยไม่จำเป็นต้องขอฉันทามติจาก SEATO
ปัจจุบัน สหรัฐฯก็ยังปกป้องไทยเราตามสนธิสัญญามะนิลาและแถลงการณ์ถนัด-รัชต์อยู่
(ปีค.ศ.1977 องค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ยุบตัวเองลง แต่มาตรา 4 (1)
ยังคงบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ไทยและสหรัฐฯจึงยังคงเป็นสัมพันธมิตรกันอยู่จนถึงปัจจุบัน)
สงครามเวียดนามเกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ.1964-1975
เกิดจากสหรัฐฯเชื่อในทฤษฎีโดมิโน
โดยมองว่าหากปล่อยให้เวียดนามเหนือยึดเวียดนามใต้สำเร็จ
เวียดนามใต้ซึ่งเป็นโดมิโนตัวแรกก็จะล้มเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วย ในปีค.ศ.1964
สหรัฐฯจึงหาทางจัดการกับเวียดนามเหนือด้วยการอ้างว่า เรือรบของเวียดนามเหนือยิงเรือรบของสหรัฐฯในรัศมี
9 ไมล์
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดมติอ่าวตังเกี๋ยขึ้น (ทองกิง)
แล้วสงครามเวียดนามก็เริ่มต้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ช่วงสงครามเวียดนาม ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบกับสหรัฐฯ
เนื่องจากพวกเวียดนามเหนือต่อสู้เพื่อมาตุภูมิจึงร่วมมือกับพวกเวียดกงโดยใช้วิธีรบแบบกองโจร
ทหารอเมริกันและทหารไทยถูกลอบสังหารเป็นจำนวนมาก
ทหารอเมริกันที่รบเพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งไม่มีตัวตนจึงพากันหนีทัพ
รัฐบาลเวียดนามใต้ก็คอรัปชั่น ในที่สุดปีค.ศ.1973
สหรัฐฯจึงตัดสินใจถอนกำลังออกจากเวียดนาม ไทยก็ถอยออกมาตามสหรัฐฯ
หลังถอนกำลังออกจากเวียดนาม
นโยบายต่างประเทศของไทยก็เปลี่ยนไป เพราะสหรัฐฯไม่สนใจไทยอีกต่อไป
เมื่อพึ่งพาสหรัฐฯ ไทยเราจึงหันไปพึ่งจีนในฐานะผู้ปกป้องใหม่
สรุป
ช่วงต้นทศวรรษไทยเราทำตามสหรัฐฯทุกอย่างในฐานะผู้อุปถัมภ์ เช่น
เป็นที่ตั้งฐานทัพให้สหรัฐฯ ทหารอเมริกันจึงเข้ามาอยู่ในเมืองไทยกว่า 50,000 นาย
ไทยเราจึงมีรายได้กับทหารเหล่านี้ จะเห็นว่า
สงครามเวียดนามและสงครามเกาหลีเป็นปัจจัยภายนอกที่มีบทบาทผลักดันให้ไทยเข้าไปมีสัมพันธ์เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยภายในคือไทยถูกปกครองโดยระบอบทหาร เช่น สมัยจอมพลถนอม กิติขจร ไทยเราจึงมีความสัมพันธ์กับทหารอเมริกันโดยเน้นความมั่นคงปลอดภัยเป็นหลัก
-ทศวรรษ 1970s
ต้นทศวรรษ สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามโดยประกาศใช้นโยบาย Vietnamization ปีค.ศ.1973
คือนับจากนี้ไปสหรัฐฯจะไม่ส่งทหารไปรบที่ใดอีก
เพราะจะให้ประเทศคอมมิวนิสต์เหล่านั้นป้องกันตนเอง (Self-defense) สหรัฐฯจะช่วยเหลือบางส่วนเท่านั้น เช่น ส่งอาวุธไปให้
ช่วงที่ไทยเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ
ไทยเราต้องเป็นศัตรูกับสหภาพโซเวียตและจีน เมื่อสหรัฐฯเปลี่ยนนโยบาย
ไทยเราจึงต้องเปลี่ยนนโยบายใหม่ด้วย
ปีค.ศ.1972 สหรัฐฯได้เปลี่ยนนโยบายไปทอดไมตรีกับจีน
โดยใช้นโยบายเปิดประตูจีน (Open Door
Policy)
ช่วงนั้นจีนเองก็มีปัญหาจากการขาดเทคโนโลยีจึงต้องเปิดประตูรับเอาเทคโนโลยีจากตะวันตกเข้ามา
เพราะหลังจากที่สตาร์ลินเสียชีวิต สหภาพโซเวียตและจีนก็บาดหมางกันอย่างรุนแรง
เหมาเจ๋อตุงไม่พอใจสหภาพโซเวียตที่ไม่ช่วยเหลือจีนแดงรบกับจีนขาวในปีค.ศ.1949
เลย
เพียงแต่สนับสนุนให้จีนแดงและจีนขาวจับมือกันต่อต้านญี่ปุ่นที่บุกรุกเข้ามาเท่านั้น
แต่เพราะสตาร์ลินเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์จึงทำอะไรไม่ได้
เมื่อสตาร์ลินเสียชีวิตในปีค.ศ.1953 ครุสชอฟก็ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์และประกาศนโยบายการอยู่ร่วมกันเพื่อสันติ (Peaceful Coexistence) คือสังคมนิยมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับทุนนิยมได้
ซึ่งตรงข้ามกับนโยบายของสตาร์ลินที่บอกว่าสังคมนิยมและทุนนิยมอยู่ร่วมกันไม่ได้
จีนจึงมองว่าเป็นลัทธิแก้ ไม่ใช่ลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง ความบาดหมางระหว่างทั้งสองประเทศจึงทวีความรุนแรงขึ้น
สหภาพโซเวียตจึงถอนพิมพ์เขียวที่สร้างโรงงานและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในจีนออกไป
สร้างความไม่พอใจให้แก่จีนเป็นอย่างมาก เมื่อสหรัฐฯใช้นโยบาย Open Door
Policy จีนจึงหันไปหาสหรัฐฯและยุโรปตะวันตกเพราะต้องการเทคโนโลยี
เมื่อสหรัฐฯหันไปมีสัมพันธ์กับจีน
ไทยจึงหันไปผูกมิตรกับจีนและสหภาพโซเวียตด้วย ปีค.ศ.1975
ไทยกับจีนก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปีเดียวกัน
เวียดนามเหนือตีเวียดนามแตกได้สำเร็จแล้วรวมเป็นเวียดนามเดียว
เวียดนามจึงฮึกเหิมขยายอำนาจไปยังกัมพูชาและลาว
สร้างความตื่นตระหนกให้กลุ่มชั้นชำไทยอย่างมากจนต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศอีกครั้ง
ช่วงนี้การเมืองภายในประเทศของไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง
ในสมัยรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักศึกษาจากม.จุฬาฯและม.ธรรมศาสตร์
ออกมาเดินขบวนขับไล่ทหารอเมริกันออกนอกประเทศ รวมทั้งฐานทัพที่อู่ตะเภาและสถานีเรด้าด้วย
ในที่สุด รัฐบาลไทยก็เรียกร้องให้สหรัฐฯถอนทหารและสถานีเรด้าออกจากประเทศ
ช่วงนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การถอนสถานีเรด้าของสหรัฐฯมีผลต่อความมั่นคงของไทย
เพราะไม่สามารถสืบได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ในไทยและคอมมิวนิสต์เวียดนามอยู่ที่ไหนบ้าง
ปีค.ศ.1975-1976
ไทยได้จึงใช้นโยบายรักษาระยะห่างที่เท่าเทียมกัน
คือเข้าหาขั้วอำนาจแต่ละขั้วเพื่อรักษาดุลอำนาจ
คือเข้าหาทั้งสหรัฐฯและจีนในระยะห่างที่เท่าเทียมกัน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ
และการทหาร เพื่อให้มหาอำนาจถ่วงดุลอำนาจกัน นอกจากนี้แล้ว ไทยเรายังหาพันธมิตรใหม่เพิ่มอีก
เช่น ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เอเชียใต้
ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
ขั้วอำนาจ (Pole) หมายถึงรัฐ สถาบัน หรือองค์การระหว่างประเทศ
การที่จะเป็นขั้วอำนาจได้จะต้อง (1) สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้คนอื่นได้ (2)
ควบคุมผลลัพธ์ระหว่างประเทศได้
คือทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความร่วมมือระหว่างประเทศก็ได้ (3)
ควบคุมทรัพยากรทั้งที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ ช่วงขณะนั้น
ขั้วอำนาจจะประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพโซเวียต
ปีค.ศ.1978
ไทยดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับจีน (Strategic Ally)
เพื่อต่อสู้กับเวียดนามที่กำลังบุกกัมพูชาอยู่ ปีค.ศ.1979
จีนจึงทำสงครามสั่งสอนเวียดนามด้วยการส่งทหารเข้าไปปราบและบีบให้เวียดนามออกจากกัมพูชา
แต่จีนก็ต้องถอนทหารออกมาเพราะไม่สามารถเอาชนะเวียดนามได้
สร้างความวิตกแก่ไทยเป็นอย่างมาก
จากการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับจีน (Strategic Partnership:
ร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน)
ไทยและจีนได้ร่วมมือกันต่อสู้กับเวียดนามโดยส่งเสริมเขมรสามฝ่ายให้ต่อสู้กับเขมรเฮ็งสำริน
จีนจึงถือโอกาสส่งอาวุธผ่านไทยไปให้เขมรแดงและกลายเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองใหม่ของไทยไปโดยปริยาย
ไทยจึงเรียกร้องให้จีนยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในไทย
จีนจึงยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในไทยตามข้อเรียกร้อง
พรรคคอมมิวนิสต์ในไทยจึงยุติบทบาทลง
ปลายทศวรรษ 1970s
ไทยได้จึงเปิดความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับจีน
ผลจากที่จีนเปิดรับเทคโนโลยีจากตะวันตก นักลงทุนไทยจึงเข้าไปลงทุนในจีนเป็นจำนวนมาก
เช่น ซี.พี. คนไทยเองก็ต้องปรับตัวศึกษาวัฒนธรรมและภาษาจีน
ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนได้เจริญจนถึงขีดสุดมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เนื่องจากรายได้จากการส่งออกของไทย 25% ของ GDP มาจากสหรัฐฯ ไทยเราจึงไม่สามารถทิ้งความสัมพันธ์ของสหรัฐฯไปได้
สรุป
ช่วงต้นทศวรรษ 1970s เป็นช่วงผกผันของนโยบายต่างประเทศของไทย
ช่วงกลางทศวรรษ นโยบายต่างประเทศของไทยมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายในคือเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ค.ศ.1973 และค.ศ.1976
ไทยเราได้นำประชาธิปไตยมาใช้กำหนดนโยบายต่างประเทศ บวกกับลัทธิชาตินิยม
(ความจงรักภักดีต่อชาติและต่อต้านชาติอื่น) นักศึกษาไทยจึงต่อต้านทหารอเมริกัน
สหรัฐฯจึงต้องถอนกำลังออกไป แต่ผู้นำของทั้งสองประเทศยังคงมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่เปิดเผย ทั้งนี้
สหรัฐฯและไทยยังต้องสัมพันธ์กันตามสนธิสัญญามะนิลาและแถลงการณ์ถนัด-รัชต์มาจนถึงปัจจุบัน
-ทศวรรษ 1980s ไทยดำเนินนโยบายรูปแบบใหม่ที่มีต่อมหาอำนาจคือ
นโยบายรอบทิศทางหรือนโยบายการทูตรอบทิศทาง (Omni Directional Policy) โดยพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทุกประเทศ ทั้งที่เป็นมหาอำนาจ
หรือประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร
เห็นชัดในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ใช้นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นตลาดการค้า
ผลของนโยบายการทูตรอบทิศทางทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง
ใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าแทนการทหาร และเป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคมากขึ้น
-ความสัมพันธ์กับจีน ปลายทศวรรษ 1980s ปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศคือปัญหาความมั่นคง
โดยเฉพาะกรณีที่เวียดนามบุกกัมพูชาซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ของไทย
ไทยจึงกระชับความสัมพันธ์กับจีน จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามไม่สำเร็จ
ไทยจึงหันไปสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตและเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตยุติการสนับสนุนเวียดนาม
จีนใช้ประโยชน์จากการที่ไทยพึ่งพาจีนด้วยการส่งอาวุธให้เขมรแดงโดยใช้เส้นทางผ่านไทย
ไทยจึงถูกนานาชาติประณามเป็นอย่างมาก ปีค.ศ.1985 จีนติดตั้งโทรศัพท์สาย Hot Line ระหว่างผู้นำจีนกับผู้นำไทย
เผื่อไทยถูกเวียดนามรุกราน ผู้นำไทยก็จะได้ต่อสายไปหาผู้นำจีนได้ทันที นอกจากนี้
ไทยได้ลงนามกับจีนในความช่วยเหลือด้านการทหารคือ จีนขายอาวุธให้ไทยในราคา 5-10% ของราคาจริง ให้เครดิตนานถึง 10 ปี หรือใช้สินค้าเกษตรแลกกับอาวุธก็ได้
แต่อาวุธของจีนไม่ทันสมัย ไม่มีอะไหล่ ไม่มีคู่มือการใช้งาน ไม่มีคนซ่อมแซมให้
ซึ่งคุณภาพด้อยกว่าอาวุธของสหรัฐฯมาก
-ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯเสื่อมลง
เพราะเกิดความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างกัน สหรัฐฯใช้นโยบายปกป้อง (Protectionism) เพื่อปกป้องกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าในประเทศและกีดกันสินค้าจากภายนอก
ไทยกล่าวหาว่าสหรัฐฯสกัดกั้นสินค้าจากไทยโดยใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีเพื่อต่อต้านการอุดหนุนและการทุ่มตลาด
(Anti-dumping) หรือใช้มาตรการอื่นทั้งที่ใช้ภาษีและไม่ใช่ภาษี
(Tariff and Non Tariff Barrier) ไทยไม่พอใจสหรัฐฯ
เพราะรายได้จากการส่งออกของไทยส่วนใหญ่มาจากการส่งสินค้าออกไปยังสหรัฐฯ แต่ไทยยังคงดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯต่อไป
โดยเฉพาะการซ้อมรบร่วมเพื่อสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ ปีค.ศ.1982
ไทยและสหรัฐฯได้เปิดการซ้อมรบภายใต้รหัสงูเห่าทอง (Cobra Gold: สาเหตุที่ตั้งชื่อนี้เพราะไทยมีงูเห่าเป็นจำนวนมาก)
เพื่อสร้างแรงกดดันให้ประเทศอื่นเห็นว่าสหรัฐฯยังคงปกป้องไทยอยู่
จากการที่ไทยมีความสัมพันธ์กับจีนอย่างแน่นแฟ้นได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสหรัฐฯ
เพราะเกรงว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจในภูมิภาคนี้ให้กับจีน
สหรัฐฯจึงหันกลับมามีความสัมพันธ์กับไทยและการร่วมซ้อมรบก็ชี้ให้เห็นว่า
สหรัฐฯไม่ได้ทอดทิ้งไทย
ปีค.ศ.1985
เวียดนามซื้อเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยจากสหภาพโซเวียต
สร้างความหวั่นวิตกให้กับไทยเป็นอย่างมาก ไทยจึงต้องซื้อเครื่องบินขับไล่ F16 จากสหรัฐอเมริกาเพื่อป้อมปราม
ในปีเดียวกัน สหรัฐฯและไทยได้ลงนามตั้งคลังอาวุธสำรองในไทย ปีค.ศ.2003
ไทยได้เป็นพันธมิตรนอกนาโต้กับสหรัฐฯ
ไทยเราจึงสามารถใช้อาวุธจากคลังอาวุธสำรองในประเทศได้ (ปีค.ศ.1991 อิรักบุกคูเวต
สหรัฐฯได้มาใช้คลังอาวุธสำรองในไทยและใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปยังอิรัก)
ปีค.ศ.1988 ไทยมีความเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจมากขึ้นจากการดำเนินนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นตลาดการค้าของนายกฯชาติชาย
ชุณหะวัณ ก่อนที่จะประกาศนโยบายนี้ ปัญหาของกัมพูชาลดลงเพราะเวียดนามถอนกำลังออกไป
การดำเนินนโยบายของไทยด้านการทหารกับสหรัฐฯจึงลดลง
แล้วหันไปดำเนินนโยบายด้านการค้ากับอินโดจีนโดยใช้นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า
สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ไทยและอินโดจีนมาก
ไทยได้ทำข้อตกลงทางการค้าและเศรษฐกิจกับเวียดนาม กัมพูชา
พม่า ลาว สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น และทำการค้ากับอาเซียน
แต่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯยิ่งเลวลง เพราะสหรัฐฯกล่าวหาว่าไทยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
โดยข่มขู่ว่าหากไทยไม่แก้ปัญหาหรือไม่มีกฎหมายปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็จะตัด
GSP ของไทย
ไทยเราจึงต้องออกกฎหมายและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง (แต่ก็เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ เท่านั้น
หากสหรัฐฯไม่กระตุ้นก็จะปล่อยไป)
-ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต ปีค.ศ.1985 นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ
ผู้นำสหภาพโซเวียตประกาศใช้นโยบายเปเรสทรอยก้า
(ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศทั้งหมด) และนโยบายกลาสนอส
(เปิดกว้างให้มีการแสดงความคิดเห็นและให้ประชาชนมีเสรีภาพ)
ยุโรปตะวันออกจึงตีตัวออกจากสหภาพโซเวียต บางประเทศได้จัดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ปีค.ศ.1989 สงครามเย็นเริ่มยุติลงและยุติอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.1991
เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
สหภาพโซเวียตลดบทบาทในการหนุนหลังเวียดนามในการยึดครองกัมพูชาและลาว
ส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของไทยคือ ปีค.ศ.1987 ไทยได้สร้างสัมพันธภาพใหม่กับสหภาพโซเวียต
และวางตัวเป็นกลางระหว่างสหภาพโซเวียตและจีน ในปีเดียวกัน นายสิทธิ เศวตศิลา
ร.ม.ต.ต่างประเทศได้เดินทางไปเยือนสหภาพโซเวียต และเรียกร้องให้มิคาอิล กอร์บาชอฟ
ช่วยกดดันเวียดนามให้ออกจากกัมพูชา ในปีค.ศ.1989 เวียดนามจึงถอนทหารออกจากกัมพูชา
ไทยจึงเป็นอิสระจากความกลัวภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์
ในปีค.ศ.1987
ไทยได้ลงนามพิธีสารโปรตุคอลเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการทางการค้าระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต
ช่วงนี้ไทยดำเนินนโยบายสนลู่ลม/ไผ่ลู่ลม เมื่อประเทศใดมาแรง ไทยก็จะเอนไปทางนั้น
เช่น สงครามเย็น ไทยเอนไปทางสหรัฐฯ พอจีนผงาดขึ้นมา ไทยก็เอนมาทางจีน ประเทศต่างๆ
จึงมองว่าไทยเป็นประเทศที่เอาตัวรอดเก่งและสามารถปะทะแรงของมหาอำนาจได้
(สมัยรัชกาลที่ 5 ไทยได้ยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่
ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจ ถือเป็นรูปแบบของนโยบายไผ่ลู่ลมเช่นกัน)
-ความสัมพันธ์กับอาเซียน ช่วงที่สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากสงครามเวียดนาม
ไทยได้หันมาเน้นภูมิภาคนิยม (Regionalism: ความผูกพันกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวกัน
เช่น เชื้อชาติ ศาสนา หรือภูมิหลังประวัติศาสตร์เหมือนกัน) แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความแตกต่างกันมาก
ไทยจึงพยายามทำให้ประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคนี้คล้อยตามไทยคือการผนึกกำลังกันเป็นอาเซียน ทำให้ประเทศต่างๆ
มีอำนาจในการต่อรอง ถ่วงดุลมหาอำนาจ หรือบรรเทาแรงกดดันจากภายนอก
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะเป็นชาติอิสระและสามารถดำเนินนโยบายโดยไม่พึ่งมหาอำนาจ
ขณะเดียวกันก็ต้องดูทิศทางลม ไทยเป็นประเทศเล็กจึงไม่สามารถต่อต้านทิศทางลม
ดังนั้นจึงควรใช้ทิศทางลมเป็นประโยชน์ในการเดินไปสู่เป้าหมาย
คือรู้ว่าแรงกดดัน/แรงปะทะของมหาอำนาจ และรู้ว่าแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ช่วงรัฐบาลชาติชาย
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงคือ
สหภาพโซเวียตประกาศใช้นโยบายเปเรสทรอยก้าและกลาสนอส
ส่วนการเมืองภายในก็เริ่มเปลี่ยนจากการปกครองโดยทหารไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
ช่วงนี้ได้เกิดเศรษฐกิจการเมืองแบบใหม่ในภูมิภาคคือโลกาภิวัตน์ (Globalization)
ทั่วโลกเปรียบเสมือนหมู่บ้านโลก (Global Village) แต่ละประเทศไม่สามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวจึงต้องพึ่งพาอาศัย/ช่วยเหลือกัน
โดยการจัดตั้งกลุ่มภูมิภาคอาเซียน การทำข้อตกลงกับภูมิภาคอื่น เน้นสิทธิมนุษยชน
(Human Rights) และเศรษฐกิจการตลาด (Liberal)
ส่งผลทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยเปลี่ยนแปลงคือ
เน้นการเติบโตนำโดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (Export-led-Growth) เพื่อพัฒนาประเทศตามคำแนะนำของ World Bank
เพราะรายได้ของไทยกว่า 60% ของ GDP มาจากการส่งออก
การเจริญเติบโตนำโดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (Export-led-Growth) เป็นแนวคิดของญี่ปุ่น
ซึ่งญี่ปุ่นได้ถ่ายทอดไปยังเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ส่งผลให้ทั้ง 4
เจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs) หรือ 4 เสือ ธนาคารโลกจึงนำมาบังคับไทยเพราะต้องการให้ไทยพัฒนา
แต่ไทยกลับนำสินค้าเกษตรกรรมส่งออกพร้อมกับสินค้าอุตสาหกรรม ปลายทศวรรษ 1980s
GDP ของไทยเติบโตถึง 10%
ธนาคารโลกจึงให้ไทยเป็นรูปแบบของ Export-led-Growth
โดยการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม พร้อมกับทำนายว่าปลายทศวรรษ 1990s ไทยจะเป็นเสือตัวที่ห้า แต่ปีค.ศ.1997 ไทยก็เกิดวิกฤติการณ์การเงิน
นโยบายต่างประเทศของไทยจึงเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
-ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ในทศวรรษนี้ ญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในไทยมหาศาล
นานาประเทศได้วิจารณ์ว่าญี่ปุ่นเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากไทย ปีค.ศ.1984
ไทยขาดดุลการค้าให้ญี่ปุ่นถึง 62% นักศึกษาไทยจึงรวมตัวกันเดินขบวนต่อต้านสินค้าของญี่ปุ่นและสนับสนุนให้คนไทยหันไปใช้สินค้าไทยแทน
การเดินขบวนของนักศึกษาส่งผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
เนื่องจากการเดินขบวนต่อต้านไม่ช่วยลดการขาดดุลการค้า
รัฐบาลจึงกดดันให้ญี่ปุ่นเปิดตลาดสินค้าไทยมากขึ้นและให้ญี่ปุ่นถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศไทย
ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตมหาศาล
ปีค.ศ.1988
ผลจากความร่วมมือระหว่างผู้นำไทยและผู้นำญี่ปุ่น การขาดดุลการค้าของไทยจึงลดลง 30% ปลายทศวรรษ
ญี่ปุ่นก็ย้ายฐานการผลิตมายังไทย
จนปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นผู้มาลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่ง ไทยจึงถูกประณามว่าเป็นอาณานิคมแบบใหม่ของญี่ปุ่น
(Neo-Colonialism) ลักษณะสำคัญของอาณานิคมแบบใหม่คือ
1.ใช้การลงทุนจากต่างประเทศ
บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้จะกดดันรัฐบาลของประเทศที่ตนมาลงทุนปฏิบัติตาม
หากไม่สำเร็จก็จะไปกดดันประเทศแม่ให้มากดดันแทน อำนาจอธิปไตยด้านเศรษฐกิจของประเทศนั้นจึงสูญเสียไป
เช่น
โลตัสกดดันให้รัฐบาลอังกฤษให้มากดดันรัฐบาลไทยให้อนุญาตให้โลตัสเปิดสาขาในเมืองได้
2.การให้ความช่วยเหลือ ประเทศที่รับความช่วยเหลือมาก
โอกาสที่ต้องทำตามประเทศที่ให้ความช่วยเหลือก็จะมีมาก
สรุป ทศวรรษ
1980s ไทยได้เปลี่ยนนโยบายต่างประเทศหลายด้าน
เช่น นโยบายรอบทิศทาง นโยบายลู่ตามลม ภูมิภาคนิยม
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นตลาดการค้า นโยบายนำเศรษฐกิจนำการทหารหรือความมั่นคง
ช่วงนี้ ไทยได้พยายามหลุดพ้นจากอิทธิพลของสหรัฐฯ
สหรัฐฯได้ดำเนินนโยบายเป็นจ้าวโลกในทศวรรษ 1950s-1960s ไทยได้ตกอยู่ภายใต้ความเป็นจ้าวโลกของสหรัฐฯ
เปรียบเสมือนลูกน้อง ทศวรรษ 1970s
ไทยจึงพยายามหลุดพ้นจากสหรัฐฯแล้วหันไปซบอกจีนในฐานะหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจและทางทหาร
เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่าย ทศวรรษ 1980s
สหรัฐฯหวนกลับมาอีกครั้งเพราะกลัวว่าจีนจะมีอิทธิพลเหนือไทยมากเกินไป จนต้องสูญเสียไทยให้แก่จีน
สหรัฐฯก็จะหมดอิทธิพลในเอเชียลง เนื่องจากไทยเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ประเทศอื่น
ไทยเองก็ทิ้งสหรัฐฯไม่ได้จึงต้องใช้นโยบายรักษาระยะห่างระหว่างสหรัฐฯและจีน
แต่ก็ไม่สำเร็จมากเพราะไทยต้องพึ่งสหรัฐฯด้านเศรษฐกิจ การซื้ออาวุธ
และจีนก็ไม่สามารถปกป้องไทยได้มากเท่าสหรัฐฯ
ทศวรรษ 1980s
นโยบายต่างประเทศของไทยจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อทำให้ไทยเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ
ซึ่งนโยบายรอบทิศทางและนโยบายลู่ตามลมได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
เพียงแต่เปลี่ยนโฉมหน้าเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น